เปิดโผหุ้นบลูชิพ 9 เดือน “ขึ้นมากกว่าลง”ชู 19 หุ้นสุดตรอง! รีเทิร์นชนะ SET-SET50
เปิดโผหุ้นบลูชิพ 9 เดือน “ขึ้นมากกว่าลง” ชู 19 หุ้นสุดตรอง! รีเทิร์นชนะ SET-SET50 นำโดย CBG,CPF,GPSC,PALL,KCE,HMPRO,PTTEP,ROBINS,PTT,IVL, BEM,EGCO,KBANK,TU,CPN,SCB, PTTGC,AOT และ TPIPL
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจราคาหุ้นบริษัทจดทะเบียน (บจ.) กลุ่ม SET50 ใน ช่วง 9 เดือน โดยเทียบราคาปิด ณ วันที่ 30 ธ.ค.58-30 ก.ย.59 โดยพบว่าราคาหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นมากกว่าปรับตัวลดลง โดยหุ้นทั้ง 50 ตัว ปรับตัวขึ้น 36 ตัว ส่วนที่เหลืออีก 14 ตัว ราคาปรับลดลง
ขณะเดียวกันหากสังเกตหุ้นที่ปรับตัวขึ้นจะมีหุ้น 19 ตัวที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์(SET)และดัชนีกลุ่ม (SET50) โดยเห็นได้จากดัชนีตลาดช่วง 9 เดือนเพิ่มขึ้น 15.15% จากระดับ 1288.02 จุด (30 ธ.ค. 58) บวก 195.19 จุด มาอยู่ที่ระดับ 1483.21 จุด ( 30 ก.ย.59) ส่วนดัชนี SET50 เพิ่มขึ้น 16.09% จากระดับ 813.55 จุด(30 ธ.ค.) บวก 130.87 จุด มาอยู่ที่ 944.42 จุด (30 ก.ย.59)
โดยหุ้นทั้ง 19 ตัว ประกอบด้วย CBG,CPF,GPSC,PALL,KCE,HMPRO,PTTEP,ROBINS,PTT,IVL,BEM,EGCO, KBANK,TU, CPN, SCB, PTTGC,AOT และ TPIPL ตรงนี้สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนให้ความมั่นใจหุ้นกลุ่มนี้อย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญราคาหุ้นได้สะท้อนความแข็งแกร่งของราคาหุ้นให้สมกับที่เป็นหุ้นบลูชิพ (Blue chip stock)ได้อย่างชัดเจน
หลักทรัพย์ | 30-ธ.ค.-58 | 30-ก.ย.-59 | เปลี่ยนแปลง | |
บาท | % | |||
CBG | 34.50 | 64.50 | 30.00 | 86.96 |
CPF | 18.30 | 31.75 | 13.45 | 73.50 |
GPSC | 22.20 | 36.50 | 14.30 | 64.41 |
CPALL | 39.25 | 61.50 | 22.25 | 56.69 |
KCE | 70.00 | 106.00 | 36.00 | 51.43 |
HMPRO | 6.80 | 10.00 | 3.20 | 47.06 |
PTTEP | 57.25 | 81.00 | 23.75 | 41.48 |
ROBINS | 43.50 | 60.75 | 17.25 | 39.66 |
PTT | 244.00 | 339.00 | 95.00 | 38.93 |
IVL | 21.30 | 28.25 | 6.95 | 32.63 |
BEM | 5.25 | 6.90 | 1.65 | 31.43 |
EGCO | 151.50 | 198.50 | 47.00 | 31.02 |
KBANK | 150.50 | 187.50 | 37.00 | 24.58 |
TU | 17.20 | 21.40 | 4.20 | 24.42 |
CPN | 47.00 | 58.25 | 11.25 | 23.94 |
SCB | 119.50 | 148.00 | 28.50 | 23.85 |
PTTGC | 50.00 | 58.75 | 8.75 | 17.50 |
AOT | 346.00 | 399.00 | 53.00 | 15.32 |
TPIPL | 2.10 | 2.42 | 0.32 | 15.24 |
IRPC | 4.30 | 4.88 | 0.58 | 13.49 |
SCC | 460.00 | 516.00 | 56.00 | 12.17 |
TCAP | 36.50 | 40.50 | 4.00 | 10.96 |
WHA | 2.86 | 3.12 | 0.26 | 9.09 |
GLOW | 74.00 | 79.75 | 5.75 | 7.77 |
MINT | 36.25 | 39.00 | 2.75 | 7.59 |
BA | 23.10 | 24.70 | 1.60 | 6.93 |
BBL | 152.50 | 162.50 | 10.00 | 6.56 |
KTB | 16.70 | 17.60 | 0.90 | 5.39 |
ADVANC | 152.00 | 160.00 | 8.00 | 5.26 |
TRUE | 1.35 | 1.42 | 0.07 | 5.19 |
DTAC | 30.25 | 31.50 | 1.25 | 4.13 |
INTUCH | 52.00 | 54.00 | 2.00 | 3.85 |
TOP | 66.00 | 68.50 | 2.50 | 3.79 |
DELTA | 76.50 | 79.25 | 2.75 | 3.59 |
TTW | 10.60 | 10.80 | 0.20 | 1.89 |
CK | 29.00 | 29.50 | 0.50 | 1.72 |
BANPU | 16.00 | 15.70 | – 0.30 | – 1.88 |
BDMS | 22.30 | 21.80 | – 0.50 | – 2.24 |
BTS | 9.10 | 8.65 | – 0.45 | – 4.95 |
LH | 9.45 | 8.95 | – 0.50 | – 5.29 |
BCP | 33.00 | 30.50 | – 2.50 | – 7.58 |
PS | 26.50 | 24.00 | – 2.50 | – 9.43 |
CENTEL | 44.00 | 39.00 | – 5.00 | – 11.36 |
TMB | 2.42 | 2.12 | – 0.30 | – 12.40 |
MTLS | 21.30 | 18.50 | – 2.80 | – 13.15 |
BH | 211.00 | 174.50 | – 36.50 | – 17.30 |
BLA | 55.50 | 44.75 | – 10.75 | – 19.37 |
SAWAD | 47.75 | 36.00 | – 11.75 | – 24.61 |
BEC | 30.50 | 22.00 | – 8.50 | – 27.87 |
TASCO | 40.50 | 19.10 | – 21.40 | – 52.84 |
โดยอันดับ 1 บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG ราคาช่วง 9 เดือนปรับตัวเพิ่มขึ้น 86.96% จากราคา ณ วันที่ 30 ธ.ค. 58 อยู่ที่ระดับ 34.50บาท บวก 30.00 บาท มาอยู่ที่ 62.00 บาท ณ วันที่ 30 ก.ย.59 ราคาหุ้นปรับตัวแรงส่วนใหญ่ได้ปัจจัยบวกทิศทางธุรกิจที่ยังสดใส และการสร้างกำไรอย่างเนื่องทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นในการลงทุน
โดยในปีนี้บริษัทมั่นใจรายได้ปีนี้จะเติบโตราว 15-20% จากปีก่อนทำได้ 7.87 พันล้านบาท เนื่องจากบริษัทออกสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องถึง 8 รายการในปีนี้ ได้แก่ สินค้าที่จำหน่ายในประเทศ ได้แก่ น้ำดื่ม 2 ขนาดบรรจุ,กาแฟซองและกาแฟกระป๋อง 2 รสชาติ คือ คาราบาว ริช อโรมา และคาราบาว เอสเปรสโซ ส่วนสินค้าที่จำหน่ายในต่างประเทศ ได้แก่ คาราบาว Bring it On และคาราบาวผสมโสม
อันดับ 2 บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ราคาช่วง 9 เดือนปรับตัวเพิ่มขึ้น 73.50% จากราคา ณ วันที่ 30 ธ.ค. 58 อยู่ที่ระดับ 18.30 บาท บวก 13.45 บาท มาอยู่ที่ 31.75 บาท ณ วันที่ 30 ก.ย.59 ราคาหุ้นปรับตัวแรงน่าจะเป็นผลมาจากมองราคาหุ้นผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วปีก่อน และจะกลับมาดีขึ้นในปี 59 เพราะราคาเนื้อหมูและไก่ฟื้นตัว รวมถึงราคากากถั่วเหลืองซึ่งเป็นต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์มีแนวโน้มทรงตัวหรือลดลง
อีกทั้งปัญหา EMS ในกุ้งคลี่คลายและต้นทุนธุรกิจกุ้งลดลงจากการลดขนาดโรงงานแปรรูปกุ้ง ธุรกิจปีนี้จึงมีแนวโน้มกลับมาเป็นกำไรปีนี้หลังจากขาดทุนไปเยอะเมื่อปีก่อนทำให้นักลงทุนมั่นใจเข้าลงทุนตลอดช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา
ส่วนแนวโน้มธุรกิจในครึ่งปีหลังคาดว่าจะยังคงเป็นไปตามเป้าหมายเดิมที่ยอดขายจะเติบโตประมาณ 10-15% จากปี 2558 สำหรับแนวกลยุทธ์ให้ความสำคัญกับการขยายตลาดและการเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตที่ให้ความใส่ใจในสังคมและสิ่งแวดล้อมรอบด้านเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
อันดับ 3 บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ราคาช่วง 9 เดือนปรับตัวเพิ่มขึ้น 61.41% จากราคา ณ วันที่ 30 ธ.ค. 58 อยู่ที่ระดับ 22.20บาท บวก 14.30 บาท มาอยู่ที่ 36.50 บาท ณ วันที่ 30 ก.ย.59 ราคาหุ้นปรับตัวแรงส่วนใหญ่ได้ปัจจัยบวกในเรื่องแผนธุรกิจที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เมืองอิชิโนเซกิ ประเทศญี่ปุ่น 20.8 MW มูลค่า 3.15 พันลบ. เริ่ม COD ได้ในไตรมาส 4/60 และเล็งร่วมทุนตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่สำหรับสะสมพลังงานโซลาร์ชัดเจนปี 60
อีกทั้งผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกที่ออกมาอย่างโดดเด่น โดยมีกำไรสุทธิ 1.56 พันลบ.จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 1 พันลบ. ประกอบกับช่วงที่ผ่านมามีกองทุนเข้ามาเก็บหุ้น ยิ่งเป็นแรงหนุนให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
บริษัทคาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 3/59 จะใกล้เคียงระดับ 686.55 ล้านบาทในไตรมาส 2/59 แม้ว่าจะมีหยุดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าตามแผนงาน แต่ก็ได้รับเงินปันผลจากการลงทุน 15% ในบริษัท ราชบุรีเพาเวอร์ จำกัด (RPCL) เข้ามาชดเชย โดยคาดว่าในไตรมาสนี้จะได้รับเงินปันผลจาก RPCL มากกว่าที่ได้รับในไตรมาส1/59 จำนวน 180 ล้านบาทด้วย
อันดับ 4 บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL ราคาช่วง 9 เดือนปรับตัวเพิ่มขึ้น 56.69% จากราคา ณ วันที่ 30 ธ.ค. 58 อยู่ที่ระดับ 39.25 บาท บวก 22.25 บาท มาอยู่ที่ 61.50 บาท ณ วันที่ 30 ก.ย.59 ราคาหุ้นปรับตัวแรงส่วนใหญ่ได้ปัจจัยบวกในเรื่องแผนธุรกิจที่ออกมาอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นการตั้งงบลงทุนปีนี้ จำนวน 9.5 พันลบ.-1หมื่นลบ.
โดยแบ่งเป็นใช้ขยายสาขาเพิ่มอีก 700 แห่ง วงเงิน 3.0-3.2 พันลบ.ปรับปรุงสาขาเดิมวงเงิน 1.3-1.4 พันลบ.ลงทุนในบริษัทย่อยและศูนย์กระจายสินค้า 4.3-4.4 พันล้านบาท และลงทุนสินทรัพย์ถาวรและระบบไอที จำนวน 900-1,000 ลบ.โดย ณ สิ้นปี 58 CPALL มีร้านสะดวกซื้อ 7-11 จำนวน 8,832 สาขา
อีกทั้งผลประกอบการครึ่งปีแรกที่ออกมาโดดเด่น โดยมีกำไรสุทธิ 8.26 พันล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 6.55 พันล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการขยายสาขา 7-Eleven และ Makro
ขณะเดียวกันการออโปรโมรชั่นสแตมป์การ์ตูนเพื่อแลกของสะสมประจำปีสำหรับ 4 เดือนสุดท้ายของปีนี้ ที่คาดว่าจะได้รับความสนใจสูง เพราะเป็นการ์ตูนที่ได้รับความนิยมมาก ได้แก่ ซานริโอ้ และ ไลน์เฟรนด์ ถือเป็นครั้งแรกที่มีถึง 2 แบบเอามาออกพร้อมกันได้ ทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นตลอด 9 เดือนที่ผ่านมา
อันดับ 5 บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE ราคาช่วง 9 เดือนปรับตัวเพิ่มขึ้น 51.43% จากราคา ณ วันที่ 30 ธ.ค. 58 อยู่ที่ระดับ 70.00 บาท บวก 36.00 บาท มาอยู่ที่ 106.00 บาท ณ วันที่ 30 ก.ย.59 ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นตลอด 9 เดือนที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากพื้นฐานบริษัทที่แข็งแกร่งและการทำกำไรเพิ่มขึ้นทุกปีนับตั้งแต่ปี 55 ส่วนครึ่งแรกปีนี้ก็มีกำไรสุทธิ 1.56 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 56.08% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1 พันล้านบาท
โดยบริษัทคาดการณ์รายได้รวมในรูปเงินบาทปี 59 จะเติบโต 10-15% จากปี 58 รายได้รวมที่ 1.25 หมื่นล้านบาท ปัจจัยหลักมาจากรายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้นตาม capacity ของโรงงานแห่งใหม่ที่ลาดกระบังผลิตแผ่นพิมพ์วงจร (PCB) เพิ่มเข้ามา
ในส่วนของกำไรสุทธิปีนี้น่าจะสูงขึ้นต่อเนื่องจากปี 58 ที่ 2.24 พันล้านบาท เพราะอุตสาหกรรมยานยนต์มีการออกรถยนต์โมเดลใหม่ๆ ทำให้มีความต้องการใช้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และ PCB มากขึ้น ประกอบกับบริษัทขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในยุโรป เยอรมัน อีกทั้งมีการใช้กำลังการผลิตเต็มที่ทำให้ ตรงนี้นักลงทุนเชื่อมั่นและเข้ามาเก็งกำไรอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามราคาหุ้น SET50 บางตัวที่ปรับตัวลง อาทิ BANPU,BDMS,BTS,LH, BCP,PS,CENTEL,TMB,MTLS,BH,BLA,SAWAD, BEC และ TASCO แต่อย่าลืมว่าหุ้นกลุ่มนี้ล้วนแต่เป็นหุ้นพื้นฐาน ดังนั้นการอ่อนตัวของหุ้นก็น่าจะเป็นโอกาสเก็บของดีราคาถูกก็เป็นได้
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน