Selective Buy 12 หุ้นพื้นฐานดี-อัพไซด์แจ่มแนวโน้มกำไรโตแกร่ง-รับปัจจัยบวกหนุน

Selective Buy 12 หุ้นพื้นฐานดีอัพไซด์แจ่ม


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ ได้ทำการสำรวจและรวบรวมข้อมูลหุ้นที่น่าลงทุนและกลยุทธ์การลงทุนจากบทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์เออีซี มานำเสนอ โดยบทวิเคราะห์ครั้งนี้ได้คัดกลุ่มหุ้นที่น่าลงทุนไว้ 3 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มค้าปลีก 2. Low Beta & High Dividend และ 3.กลุ่ม Global Play รายได้อิงต่างประเทศเป็นหลัก

โดย บล.เออีซี กลยุทธ์ลงทุนแนะนำให้ “Selective Buy” หุ้นที่มีพื้นฐานดี/มี Upside Gain ที่น่าสนใจดังนี้

1) กลุ่มค้าปลีก โดยในช่วงครึ่งปีหลังของปี 59 คาดกำไรโตดีทั้งจากปีก่อนและจากไตรมาสก่อนจากเข้าสู่ High Season และได้อานิสงส์เพิ่มจากจำหน่ายเสื้อดำและสินค้าอุปโภคบริโภคเพื่อทำบุญ เลือก BJC, CPALL, ROBINS, MC โดย 2 อันดับแรกได้แก่

อันดับ 1 บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC โดย บล.เคทีบี (ประเทศไทย) แนะนำ “ซื้อ” BJC ให้ราคาเป้าหมาย 53 บาท/หุ้น โดยคาดว่าจะรายงานกำไรไตรมาส 3/59 เติบโตก้าวกระโดดจากการบันทึกกำไรอัตราแลกเปลี่ยน,  ปรับนโยบายการขายใน BIGC, คืนนี้เงินกู้หลังเพิ่มทุน มองดีลซื้อกิจการ BIGC เป็นบวก ช่วยเพิ่มตำแหน่งทางการตลาด มี synergy ระหว่างกลุ่มชัดเจน ได้ประโยชน์ดอกเบี้ยต่ำหักล้างผลเพิ่มทุนได้

ขณะที่แนวโน้มกำไรทั้งปีโดดเด่น ขณะที่ปีหน้าคาดกำไรเติบโตเท่าตัวจากการรับรู้รายได้จาก BIGC เต็มปี ผล Synergy ช่วยหนุน

อันดับที่ 2 บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL โดย บล.ฟินันเซีย ไซรัส แนะนำ “BUY” ให้ราคาเป้าหมาย 74 บาท/หุ้น มองแนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 3/59 น่าจะเติบโตได้ทั้งจากไตรมาสก่อนและจากปีก่อนแม้จะเป็น Low Season และฐานสูงในไตรมาสก่อน แต่ด้วยการประสบความสำเร็จในการจัด Stamp Promotion และคาดเปิดสาขาใหม่อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเติบโตของรายได้อื่นที่มาจากการส่งเสริมการขายจาก Supplier ที่สามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายทางการตลาดได้ทั้งหมด คาดเห็นกำไรสุทธิในไตรมาส 4/59 จะเติบโตต่อเนื่องตามปัจจัยฤดูกาล ทั้งนี้ด้วยแนวโน้มกำไรสุทธิในครึ่งปีหลังที่น่าจะทำได้ดีกว่าคาด จึงปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 59-60 ขึ้น 6.7% และ 9.3% เป็นการเติบโต 22.6% จากปีก่อนและ 17.7% จากปีก่อนตามลำดับ โดยคาดการณ์กำไรสุทธิช่วง 9 เดือนแรกคิดเป็นสัดส่วน 75% ของประมาณการกำไรใหม่ และปรับเพิ่มราคาเป้าหมายปี 61 เป็น 74 บาท จากเดิม 68 บาท (อิง DCF) ยังมี Upside 18.9%

 

2) กลุ่ม Low Beta & High Dividend : TCAP, SCC, SCCC, HANA โดย 2 อันดับแรกได้แก่

อันดับที่ 1 บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP โดย บล.เออีซี แนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 47 บาท ช่วงไตรมาส 3/59 รายงานกำไรโต 11%จากปีก่อนใกล้เคียงตลาดคาด ทั้งนี้แม้ปีนี้ภาพรวมสินเชื่อชะลอตัวแต่บริษัทตั้งสำรองลดลงและใช้ผลประโยชน์ทางภาษี จึงคาดปี 59 กำไรยังโต 11.8% จากปีก่อนและคาดโตต่อ 9.4%จากปีก่อนในปี 60 จากสินเชื่อที่คาดจะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น อีกทั้ง Upside 18.2% และคาดให้ Div. yield ปีนี้ 5%

อันดับที่ 2 บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC โดย บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) แนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 590 บาท/หุ้น คาดกำไรปกติไตรมาส 3/59 อ่อนลงจาก Low Season และธุรกิจปูน/วัสดุฯยังไม่ฟื้นตัว คาดหมายกำไรปกติ 12.7 พันล้านบาท ลดลง 1% จากปีก่อนทั้งนี้การลดลงเป็นผลการเข้าสู่ช่วง Low Season ของธุรกิจปูนซิเมนต์/วัดสุก่อสร้างในประเทศ ซึ่งในไตรมาสนี้มีฝนตก กิจกรรมการก่อสร้างชะลอตัว ขณะที่ ยอดขายส่งออกปูนฯยังทรงตัวจากข้อมูลส่งออกของสำนักเศรษฐกิจอุตสาหกรรม 2 เดือนแรกของไตรมาส 3/59 ยังทรงตัว  

ทั้งนี้ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐาน 590 บาท แม้ว่ากำไรในครึ่งปีหลังจะชะลอลง แต่คาดว่าแนวโน้มในปี 60 ยังน่าจะไปได้ดี หากคำนึงถึง โครงการภาครัฐฯใหม่ที่จะมีมากขึ้นในปีหน้า แนวโน้มปูนฯน่าจะฟื้นตัวดีกว่าปีนี้จาก 0-1% เป็น 3-5% ขณะที่ ธุรกิจปิโตรเคมียังอยู่ในช่วงขาขึ้น

 

3) กลุ่ม Global Play รายได้อิงต่างประเทศเป็นหลัก : EPG, TWPC, WICE, AMATAV โดย 2 อันดับแรกได้แก่

อันดับที่ 1 บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG โดย บล.เออีซี แนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 17.50 บาท โดยคาดว่ากำไรปกติโต 32.9%จากปีก่อนและโตต่อ 19.2%จากปีก่อนในปี 60/61 จากการโตทั้งธุรกิจฉนวนยางอุปกรณ์ยานยนต์และบรรจุภัณฑ์อีกทั้งคาด TJM จะมีผลดำเนินงานที่ดีขึ้นหลังเปลี่ยนระบบจัดซื้อสินค้าและธุรกิจบรรจุภัณฑ์จะกลับมาโตหลังใช้เครื่องจักรใหม่ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงขึ้น อีกทั้ง Upside 33%

อันดับที่ 2 บริษัท ไทยวา จำกัด (มหาชน) หรือ TWPC โดย บล.กรุงศรี แนะนำ “OUTPERFORM” ราคาเป้าหมาย 10 บาท/หุ้น โดยคาดว่ากำไรสุทธิในครึ่งปีหลังจะโต 12% จากครึ่งปีแรกและ 32% จากปีก่อนจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นราคาวัตถุดิบที่ถูกลง, และคุณภาพมันฤดูกาลใหม่ที่ดีขึ้น มีปัจจัยหนุนหลายตัว ทั้งจาก อัตรากำไรจากการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น และ โรงไฟฟ้าแห่งใหม่กำลังการผลิต 9MW 

ทั้งนี้แนะนำให้ซื้อ โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 10.00 บาท อิงจาก P/E ปี FY16 ที่ 15x โดยนอกจากกำไร จะมีแนวโน้มเติบโตสูงแล้ว ยังมีโอกาสทำดีล M&A ใน CLMV อีกด้วย 

Back to top button