สอย SEAFCO ตัวเต็งคว้างานหรูตุน Backlog เพียบ P/E ต่ำกว่ากลุ่ม

ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ ได้สำรวจบทวิเคราะห์บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO ที่นักวิเคราะห์หลายสำนักต่างแนะนำ “ซื้อ” หลังคว้างานใหม่ 3 โครงการ มองกำไรกำไรครึ่งปีหลังเติบโตโดดเด่นปีหน้า ตุน backlog หรูที่ 1.2 พันล้านบาท พร้อมตัวเต็งคว้างานรถไฟรางคู่จิระ-ขอนแก่น จาก CK


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์  ได้สำรวจบทวิเคราะห์ บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO ที่นักวิเคราะห์หลายสำนักต่างแนะนำ “ซื้อ” หลังตุน backlog หรู 1.2 พันล้านบาท ดันกำไรกำไรครึ่งปีหลังเติบโตโดดเด่นถึงปีหน้า พร้อมข่าวดีคว้างานใหม่ 3 โครงการ ชูตัวเต็งคว้างานรถไฟรางคู่จิระ-ขอนแก่น จาก CK 

ที่สำคัญราคาหุ้นยังถูก เห็นได้จากค่า P/E อยู่ที่  18.64 เท่า ซึ่งต่ำกว่า P/E กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง/บริการรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งอยู่ที่ 26.10 เท่า อีกทั้งราคาหุ้นมีเป้าหมายสูงสุดที่ 13.50 บาท อัพไซด์มากถึง 25% เป็นแรงหนุนให้ราคาหุ้นกลับมาน่าสนใจ และมีโอกาสขึ้นแรงได้อีกครั้ง 

 

นายณรงค์ ทัศนนิพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO เปิดเผยว่า บริษัทได้รับงาน 3 โครงการใหม่ในไตรมาสที่ 4/59  มูลค่าโครงการไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเงิน 175.90 ล้านบาท ได้แก่

1.โครงการวิสซ์ดอม 101 (เซาท์ คอมเมอร์เชียล)ของบริษัท วิชดอม แลนด์มาร์ก คอร์ปอเรชั่น จำกัด  เป็นงานเสาเข็มกันดิน รวมค่าวัสดุคอนกรีต และเหล็กเส้น เริ่มงานกลางเดือนต.ค.59

2.โครงการสกาย เพลินจิต ขอบริษัท สินสหกล จำกัด เป็นงานกำแพงกันดินระบบไดอะแฟรมวอลล์ และเสาเข็มเจาะแบบเหลี่ยม รวมค่าวัสดุคอนกรีต และเหล็กเส้น เริ่มงานกลางเดือน ธ.ค. 59

3.โครงการวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์กรุงเทพมหานครและวชิรพยาบาล ถนนสามเสน ของบริษัท เอ็นแอล ดีเวลลอปเมนต์ จำกัด (มหาชน) เป็นงานกำแพงกันดินระบบไดอะแฟรมวอลล์ และเสาเข็มเจาะแบบเหลี่ยม เริ่มงานต้นเดือน พ.ย.59

 

ด้านบล.บัวหลวง  ระบุในบทวิเคราะห์แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 13.50 บาท มองกำไรกำไรครึ่งปีหลัง จะเติบโต 18% จากปีก่อนและโตอีก 21% ในปี 60 จาก backlog ปัจจุบันราว 1,200 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนงานค่าแรงราว 56% คาดหนุนให้อัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยใน backlog ไม่ต่ำกว่า 20-21% นอกจากนี้คาดปีหน้าจะเป็นปีทองของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง โดยเฉพาะรับเหมาต้นน้ำ เพราะจะเป็นการเริ่มงานก่อสร้างของโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานหลายโครงการ ซึ่งงานรากฐานจะเป็นงานที่ทำก่อน รับรู้กำไรก่อนงานอื่นๆ และบริษัทมีโอกาสที่จะได้งาน รถไฟรางคู่ จิระ-ขอนแก่น จาก CK ซึ่งเป็นผู้รับเหมาหลัก หลังจากที่บริษัทรับงานในส่วนแรกมาแล้วราว 300 ล้านบาท คาดจะมีงานส่วนเพิ่มอีกราว 200-300 ล้านบาท (เฉพาะค่าแรง) เข้ามาเพิ่มเติม

นอกจากนี้คาดจะมีงานรากฐานมูลค่าราว 3,000-7,000 ล้านบาท ออกมาในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า จากรถไฟฟ้า 3 สาย ที่จะประมูลในเร็วๆนี้ ได้แก่ 1) รถไฟฟ้าสายสีส้ม 2) รถไฟฟ้าสายสีชมพู และ 3) รถไฟฟ้าสายสีเหลือง ซึ่งเรามองว่าจะมีความต้องการใช้เสาเข็มเจาะ และกำแพงกันดิน เป็นจำนวนมาก คาดบริษัทจะได้รับงานดังกล่าวต่อจากผู้รับเหมาหลักอย่าง CK และ STEC ซึ่งปกติใช้ SEAFCO เป็นผู้รับเหมาด้านงานรากฐานเป็นประจำ โดยเฉพาะรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสีเหลืองที่จะเป็นโมเด็ล PPP คาดผู้ให้บริการเดินรถฯปัจจุบันจะมีโอกาสได้งานสูง อย่างเช่น BEM (ซึ่ง CK จะเป็นผู้รับเหมา) หรือ BTS (BTS เป็นพันธมิตรกับ STEC) วัฏจักรขา ขึ้นรอบใหม่ หนุนงานในมืออาจมากกว่าคาด

จากภาพรวมอุตสาหกรรมข้างต้น เชื่อว่าจะหนุนวัฏจักรขาขึ้นของอุตสาหกรรมงานฐานราก เพราะความต้องการใช้งาน “ผู้รับเหมางานฐานราก” เพิ่มสูงขึ้น จากงานภาครัฐฯจำนวนมาก บวกกับงานคอนโดฯ ภาคเอกชน ที่เพิ่มขึ้นใหม่ตามเส้นทางรถไฟฟ้า ขณะที่จำนวนผู้ประกอบการหรือ Supply เท่าเดิม ทำให้เกิด Supply Shortage และภายใต้สมมุติฐานเชิงอนุรักษ์นิยม เรามองว่า งานที่บริษัทฯรอเสนอราคา ราว 50 โครงการ มูลค่ารวมราว 3,700 ล้านบาท คาดว่าบริษัทมีโอกาสจะได้รับงานใหม่เพิ่มอีกราว 1,700 ล้านบาท ซึงจากแนวโน้มอุตสาหกรรมที่ดีขึ้น งานในมือของบริษัทฯอาจจะมากกว่าที่เราคาดได้ 

 

ขณะเดียวกันบล.ทรีนีตี้ ะบุนบทวิเคราะห์แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 13.00 บาท มองแม้ผลการดำเนินงาน ไตรมาส3/59 อ่อนตัวลง คาดมีรายได้รวม 464 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน จากปริมาณฝนที่ตกหนักในช่วงปลายไตรมาส 3 ส่งผลให้งานก่อสร้างรถไฟทางคู่เส้นทางจิระ-ขอนแก่น ล่าช้ากว่าคาด โดยอัตราการทำกำไรขั้นต้นจะอยู่ที่ราว 18.7% ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนที่ 18.2% และยังคงอยู่ในระดับที่ดีเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในปี 58 ที่ 16.7% โดยในไตรมาส 3 นี้ ค่าใช้จ่ายในการบริหารจะกลับมาอยู่ในระดับปกติ เนื่องจากที่ไม่มีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน และค่าซ่อมแซมงานเสาเข็มเจาะและกำแพงดินเหมือนไตรมาสก่อน จึงคาดบริษัทจะมีกำไรสุทธิ 42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18%จากไตรมาสก่อน, -16% จากปีก่อน โดยกำไรสุทธิในช่วง 9 เดือนแรก คิดเป็น 75% ของประมาณการปี 59 นี้ เพิ่มขึ้น 15% จากปีก่อน

นอกจากนี้ ปัจจุบันบริษัทมี Backlog ในมือ 1,242.83 ล้านบาท โดยนับตั้งแต่ต้นปี SEAFCO รับงานใหม่ทั้งสิ้น 1,406 ล้านบาท โดยมี succession rate จากการเข้าประมูลสูงถึง 44% ซึ่งมีทั้งงานจากภาครัฐและภาคเอกชน และปัจจุบันมีงานที่อยู่ระหว่างรอผลประมูลทั้งสิ้นราว 3,660 ล้านบาท โดยคาด SEAFCO จะได้รับงานเพิ่มเติมจากการงานก่อสร้างโครงการรถไฟทางคู่เส้นทางจิระ-ขอนแก่น เพิ่มเติมอีกราว 300 ล้านบาท หลังจากได้ลงนามงานโครงการดังกล่าวมาแล้วจำนวน 300 ล้านบาทในเดือนก.ค. ที่ผ่านมา

ด้วยแนวโน้มงานก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ในประเทศที่ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง ทั้ง (1) มอเตอร์เวย์เส้นทางพัทยา-มาบตาพุด เส้นทางบางประอิน-โคราช และเส้นทางบางใหญ่-กาญจนบุรี (2) งานก่อสร้างสุวรรณภูมิ เฟส 2 และ (3) ล่าสุดงานประมูลรถไฟฟ้าทั้ง 3 สาย (สายสีส้ม ชมพู และเหลือง) มูลค่าเกือบ 2 แสนล้านบาท ซึ่งโครงการขนาดใหญ่ดังกล่าวนั้นมีงานก่อสร้างฐานรากอยู่ค่อนข้างมาก และมักจะอยู่ในรูปแบบสัญญารับเหมาช่วงประเภทงานค่าแรงอย่างเดียว ซึ่งจะส่งผลให้อัตราการทำกำไรขั้นต้นกลับมายืนอยู่ในระดับ 20% ได้ พร้อมช่วยหนุนความต้องการผู้รับเหมางานฐานรากได้อย่างดีในช่วงปี 60-63 คาดจะส่งผลให้ความต้องการงานฐานรากค่อยๆฟื้นตัวชัดเจนขึ้นตั้งแต่ 4Q59 ทำให้การแข่งขันในอุตสาหกรรมลดลง และเป็นแรงหนุนที่ดีไปยังปี 60 ต่อไป และด้วยประสบการณ์ โอกาสในการชนะงานประมูลที่สูงอย่างมาก ประกอบกับข้อได้เปรียบในแง่ของความสัมพันธ์อันดีกับผู้รับเหมาขนาดใหญ่อย่าง CK ส่งผลให้ SEAFCO เป็นบริษัทฐานรากที่มีแนวโน้มการเติบโตไปในทิศทางเดียวกันกับผู้รับเหมาหลักอย่างชัดเจน

นอกจากนี้บริษัทยังมองหางานจากต่างประเทศเพื่อกระจายความเสี่ยงในการรับงาน ซึ่งในปัจจุบัน SEAFCO มีงานในประเทศเมียนมาร์ที่รอรับรู้รายได้อีกราว 30 ล้านบาท และรอลุ้นงาน complex มูลค่า 200 ล้านบาทเดินหน้าต่อ โดย SEAFCO ยังมีแผนจะเข้ารุกงานก่อสร้างฐานรากในประเทศกัมพูชา ผ่านทั้งการรับงานตรง และการรับงานจากบริษัทรับเหมาไทยที่เข้าไปลงทุน และด้วยนโยบายการให้ความรู้ด้านวิศวกรรม หรือ Research Constructor ทำให้บริษัทได้ความไว้วางใจ และเป็นที่รู้จักในหมู่วิศวกรทั่วโลก ทำให้มีโอกาสสูงในการได้รับงานในต่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลบวกต่อบริษัทฯในระยะยาวด้วยแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมก่อสร้างในประเทศเพื่อนบ้านยังมีอีกมาก

 

รวมทั้งบล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 12.16 บาท มองไตรมาส 2/59 ที่ผ่านมาค่าใช้จ่ายสูงผิดปกติเป็น 42 ล้านบาท จากระดับปกติที่ 31-33 ล้านบาท เพราะมีขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนเงินเยนที่เกิดจากการสั่งซื้อเครื่องจักรจากญี่ปุ่น ขณะที่เงินบาทอ่อนค่าเทียบกับเยนเมื่อสิ้นไตรมาส แต่ในงวดไตรมาส 3/59 กลับมีโอกาสที่จะเกิดกำไรอัตราแลกเปลี่ยน เพราะเงินบาทแข็งค่าเทียบกับเยน นอกจากนี้ไตรมาส2/59 มีค่าใช้จ่ายซ่อมแซมเพิ่มในงานที่ส่งมอบนานมาแล้วจากการเรียกร้องของลูกค้า แต่ในงวดไตรมาส 3/59 ไม่เกิดขึ้นแล้ว

ทั้งนี้ เมื่อค่าใช้จ่ายในครึ่งปีหลังกลับสู่ภาวะปกติ ประมาณการกำไรปีนี้และปีหน้าจึงกลับมาเพิ่ม 4%/3% ตามลำดับ ยังผลให้อัตราเติบโตกำไรหลักเทียบจากปีก่อนออกมาดี งวดปีนี้และปีหน้าเป็น 36% และ 11% ตามลำดับ

ขณะเดียวกันงานรถไฟทางคู่ จิระ-ขอนแก่น ทยอยดีขึ้น ที่ผ่านมาอยู่ในช่วงการส่งมอบพื้นที่ขณะที่มีผู้รับเหมาหลายรายรวมทั้ง SEAFCO รอการเริ่มงาน คาดว่าเมื่อเจ้าของงานสามารถส่งมอบพื้นที่ทำงานได้แล้วจะไปได้เร็ว ทั้งนี้งานจะมีสองส่วนที่ต่างกันคือ งานเสาเข็มตรงแยกต่างๆที่เดิมเคยเกิดอุบัติเหตุรถไฟชนกับรถยนต์ก็จะทำทางแยกข้ามซึ่งพื้นที่มักจะเป็นเขตที่ไม่สะดวกในการทำงานนัก อัตรากำไรจะไม่สูง แต่มีงานเสาเข็มตรงทางเข้าจ.ขอนแก่นที่ทำงานได้สะดวก อัตรากำไรจะมากมาช่วยชดเชย

รวมทั้งงานพม่าที่เคยล่าช้าจะมีประมูลเพิ่ม งานที่พม่าปัจจุบันมีในมือเพียง 30 ล้านบาท และรอประมูลงานอื่นๆซึ่งที่ผ่านมาล่าช้า เพราะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่จากนี้ไปจะทยอยมีงานประมูลดีขึ้น บริษัทมั่นใจจึงจะส่งเครื่องจักรเข้าไป เพิ่ม 2 เครื่อง บริษัทคาดว่าไม่นานจากนี้จะมีงานขนาดใหญ่เปิดประมูล 2 งาน

นอกจากนี้มองปี 59 ประมูลงานได้มากถึง 1.1 พันล้านบาท โดยจากงานที่เข้าประมูลทั้งหมด 118 งาน บริษัทได้รับงานแล้ว 30 งานหรือคิดเป็น 26% ที่มูลค่า 1,075 ล้านบาท ส่วนอีก 50 โครงการ หรือ 42% มูลค่า 3,659 ล้านบาท อยู่ในช่วงการพิจารณาจากเจ้าของงาน ส่วนงานก่อสร้างในมือ (Backlog) อยู่ที่ 1,090 ล้านบาท แบ่งเป็นงานที่ทำเฉพาะค่าแรงที่ 50% ซึ่งอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยสูงเป็น 31.25%  และงานรวมทั้งค่าวัสดุก่อสร้าง-ค่าแรงที่ 50% ซึ่งให้อัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยน้อยกว่าที่ 12.5% แต่มีข้อดีคือ ทำให้มีรายได้สูง นั่นคือ งานเฉพาะค่าแรง 1 พันล้านบาทจะเทียบเท่ากับงานรวมวัสดุ 2.5 พันล้านบาท

อีกทั้งบริษัทกำลังอยู่ในช่วงขยายงาน จะมีการซื้อเครื่องจักรเพิ่มอีก 2 เครื่อง มูลค่า 40 ล้านบาท (ตัดค่าเสื่อมราคา 20 ปี) จุดเด่นคือ บริษัทมีเครื่องจักรทำงานเสาเข็มและกำแพงกันดินมากสุดในอุตสาหกรรม เป็น กว่า 30 และ 10 เครื่อง ตามลำดับ ดังนั้นในอนาคตเมื่อมีงานมาก บริษัทจะพร้อมที่สุด

 

ด้านราคาหุ้น SEAFCO ปิดตลาดวานนี้ (19 ต.ค.) ที่ 10.80 บาท บวก 0.70 บาท หรือ 0.73% มูลค่าซื้อขาย 79.01 ล้านบาท

Back to top button