คัด 11 หุ้นดาวเด่น SET50 พานักลงทุนเป๋าตุง!

คัด 11 หุ้นดาวเด่น SET50 พานักลงทุนเป๋าตุง! กวาดรีเทิร์นเกิน 30% ภายใน 10 เดือน ชูพื้นฐานสุดแกร่ง แนวโน้มผลการดำเนินงานโตแจ่มรับแผนงานในอนาคต


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการราคาหุ้นบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในกลุ่ม SET50 โดยใช้เกณฑ์คัดเลือกจากราคาหุ้นที่มีการปรับตัวขึ้นเกิน 30% ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2559 นับตั้งแต่วันที่ 30 ธ.ค.58 จนถึงวันที่ 31 ต.ค.59 ถือเป็นการให้ผลตอบแทนกับนักลงทุนที่ถือหุ้นมาตั้งแต่ต้นปี 59 ค่อนข้างสูง ซึ่งได้คัดเลือกมาทั้งหมด 11 บจ.ดังนี้ CBG, CPF, KCE, GPSC, CPALL, HMPRO, PTTEP, BEM, PTT, IVL และ ROBINS

ตารางแสดงการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้น

 

สำหรับหุ้น 5 อันดับแรกมีดังนี้

อันดับ 1 บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG ซึ่งราคาปรับตัวขึ้น 100%นับตั้งแต่ต้นปี ล่าสุดราคาหุ้นปิดตลาดวันที่ 3 พ.ย.59 อยู่ที่ 70 บาท ปรับตัวขึ้น 0.25 บาท หรือ 0.36% ด้วยมูลค่าซื้อขายที่ 352.11 ล้านบาท

ด้าน บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 70 บาท/หุ้น โดยมองว่าผู้บริหารเล็งเห็นโอกาสในการขยายตลาดไปยังต่างประเทศทั้งในเอเชียและยุโรป ซึ่งยังคงเป็นแผนที่ยังศึกษาอยู่ เห็นแนวโน้ม upside จากตลาดต่างประเทศ คงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 70 บาท

 

อันดับ 2 บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ซึ่งราคาปรับตัวขึ้น 72.13% นับตั้งแต่ต้นปี ล่าสุดราคาหุ้นปิดตลาดวันที่ 3 พ.ย.59 อยู่ที่ 30.75 บาท ปรับตัวลง 0.75 บาท หรือ 2.38% ด้วยมูลค่าซื้อขายที่ 819.61 ล้านบาท

ด้าน บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 41 บาท/หุ้น หลังจากที่บริษัท Chia Tai (China) Investment Co., Ltd (CTCI) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ CPF โดยทางอ้อมผ่าน CPP ตกลงที่จะเข้าซื้อหุ้นสามัญของ Fujian Sumpo Foods Holding Co., Ltd. (Fujian Sumpo) จากผู้ขายสองรายได้แก่ บริษัท Sumpo International Holdings Ltd และบริษัท Longyan Huiren Investment Co., Ltd ที่มูลค่ารวมทั้งสิ้น 323 ล้านเรนมินบิ (1.69 พันล้านบาท)

ทั้งนี้เชื่อว่าการเข้าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน Fujian Sumpo ในครั้งนี้ถือว่าเป็นช่องทางสำหรับ CPP ที่จะบรรลุเป้าหมายของโครงสร้างธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมแบบครบวงจร โดยมีทั้งธุรกิจอาหารสัตว์ ธุรกิจเลี้ยงสัตว์ และธุรกิจอาหารในประเทศจีน จากเดิมที่มีเพียงแค่ธุรกิจอาหารสัตว์และธุรกิจอาหารในประเทศจีน ในแง่โครงสร้างรายได้ของ CPP ประมาณ 72% ของรายได้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2559 มาจากธุรกิจอาหารสัตว์ (55% ในจีนและ 17% ในเวียดนาม) ตามมาด้วย ธุรกิจเลี้ยงสัตว์ในเวียดนาม (25%) และธุรกิจอาหาร (1% ในจีน และ 3% ในเวียดนาม)

โดยการเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้จะนำไปสู่การเปิดทางธุรกิจใหม่ซึ่งได้แก่ ธุรกิจฟาร์มไก่ในประเทศจีน การเพิ่มสัดส่วนของธุรกิจอาหารไก่และธุรกิจอาหารจากเดิม และการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายของธุรกิจอาหารในประเทศจีนอีกด้วย

 

อันดับ 3 บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE ซึ่งราคาปรับตัวขึ้น 60%นับตั้งแต่ต้นปี ล่าสุดราคาหุ้นปิดตลาดวันที่ 3 พ.ย.59 อยู่ที่ 111.50 บาท ปรับตัวลง 0.50 บาท หรือ 0.45% ด้วยมูลค่าซื้อขายที่ 266.38 ล้านบาท

ด้าน บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 120 บาท/หุ้น โดยคาดว่า KCE จะรายงานกำไรปกติ 759 ล้านบาทในไตรมาส 3/59 (ลดลง 1.1% จากไตรมาสก่อน, เพิ่มขึ้น 26% จากปีก่อน) โดยมองว่าปริมาณการส่งสินค้าน่าจะเป็นบวก แต่การรับรู้รายได้ล่าช้าอาจฉุดให้รายได้ของ KCE ลดลง 4% จากปีก่อนทั้งนี้คาดว่าปริมาณการส่งสินค้าจะลดลงในไตรมาส 4/59 ตามปัจจัยฤดูกาล

 

อันดับ 4 บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ซึ่งราคาปรับตัวขึ้น 59.91%นับตั้งแต่ต้นปี ล่าสุดราคาหุ้นปิดตลาดวันที่ 3 พ.ย.59 อยู่ที่ 35.50 บาท ปรับตัวลง 0.25 บาท หรือ 0.70% ด้วยมูลค่าซื้อขายที่ 82.68 ล้านบาท

ด้าน บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 37 บาท/หุ้น โดยมองว่ากำลังการผลิตเติบโตที่เติบโต, แนวโน้มกำไรแข็งแกร่ง และอัตรา ROE ที่ขยายตัวขึ้นใน 2 -3 ปีข้างหน้าเป็นปัจจัยที่นักลงทุนหาได้ใน GPSC อย่างไรก็ตามปัจจัยหลักที่รั้งคำแนะนำ “ซื้อ” คือมูลค่าหุ้นที่สูงเกินไป การดำเนินงานที่โดดเด่นในไตรมาส 3/59 อาจช่วยหนุนราคาหุ้นให้ปรับตัวขึ้นได้ในช่วงนี้ แต่มูลค่า PEG ในปัจจุบัน  ณ สิ้นปี 2560 อยู่ที่ 1.49 เท่า ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 1.33 เท่า จึงมองว่าราคาหุ้นมีโอกาสปรับขึ้นจาดปัจจุบันเพียงเล็กน้อย         

 

อันดับ 5 บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL ซึ่งราคาปรับตัวขึ้น 54.78%นับตั้งแต่ต้นปี ล่าสุดราคาหุ้นปิดตลาดวันที่ 3 พ.ย.59 อยู่ที่ 60.50 บาท ปรับตัวลง 0.75 บาท หรือ 1.22% ด้วยมูลค่าซื้อขายที่ 642.16 ล้านบาท

ด้าน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 70 บาท/หุ้น หลังจากคาดว่ากำไรไตรมาส 3/59 ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง ขยายสาขาตามเป้าหมาย ได้โปรโมชั่นแสตมป์ดันยอดขายโตแม้เป็น low season ทั้งนี้คาดว่าสามารถขยายสาขาได้ตามเป้าหมาย กำไรทั้งปีเติบโตต่อเนื่อง โดยมองการปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็นบวกทางอ้อมต่อการจับจ่ายใช้สอยเพื่อการบริโภคโดยรวม ลุ้นมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐปลายปีหนุน sentiment ขณะที่มองว่าเป็นหุ้น domestic play ที่พื้นฐานแข็งแกร่ง แนวโน้มกำไรเติบโตต่อเนื่องตลอดทั้งปี

 

อนึ่ง บจ.ดังกล่าวข้างต้นถือว่าทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ด้านราคาหุ้นปรับตัวขึ้นค่อนข้างมาก สะท้อนพื้นฐานที่แข็งแกร่ง อีกทั้งผู้บริหารได้มีการวางแผนขยายธุรกิจ และบริหารงานได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนจากราคาหุ้นเกิน 30% นับตั้งแต่ต้นปี 59

อย่างไรก็ตามการเข้าลงทุนในบจ.ดังกล่าวอาจจะมีความเสี่ยงเนื่องจากราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมามากแล้ว ทั้งนี้นักลงทุนต้องดูผลประกอบการของบริษัท และดูค่า P/E เพื่อประกอบการตัดสินใจด้วยว่าราคาหุ้นนั้นถูก หรือ แพง เมื่อเทียบกับ P/E กลุ่ม

 

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button