อ่วมหนัก! 9 บจ. SET50 รูดแรงเกินควร

อ่วมหนัก! 9 บจ. SET50 ราคารูดแรงเกินควร หลังรับปัจจัยลบเศรษฐกิจ-ผลการดำเนินงานชะลอตัว


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ ได้ทำการสำรวจราคาหุ้นบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในกลุ่ม SET50 โดยใช้เกณฑ์คัดเลือกจากราคาหุ้นที่มีการปรับตัวลงเกิน 10% ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2559 นับตั้งแต่วันที่ 30 ธ.ค.58 จนถึงวันที่ 31 ต.ค.59 ซึ่งได้คัดเลือกมาทั้งหมด 9 บจ.ดังตารางแสดงการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นด้านล่างนี้

 

สำหรับหุ้น 5 อันดับแรกมีดังนี้

อันดับที่ 1 บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TASCO ซึ่งราคาปรับตัวลง 55.31% นับตั้งแต่ต้นปี ล่าสุดราคาหุ้นปิดตลาดวันที่ 7 พ.ย.59 ทรงตัวอยู่ที่ 18.70 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขายที่ 138.63ล้านบาท

โดย บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) แนะนำ “เต็มมูลค่า” สำหรับหุ้น TASCO และคาดว่าผลกำไรปกติงวดไตรมาส 3/59 ของ TASCO จะมี 369 ล้านบาท ลดลง 47% จากไตรมาสก่อน และ 75% จากปีก่อนซึ่งน่าจะสร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุนเมื่องบฯออกมา เพราะปกติแล้วไตรมาส 3 จะเป็นช่วง High Season แต่ปีนี้กลับไม่ดี

สำหรับทั้งปี 59 คาดว่า TASCO จะมีกำไรสุทธิ 2,850 ล้านบาท ลดลง 43% จากปี 58 ที่มีกำไรสุทธิ 5,079 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าผลประกอบการจะกลับมาเติบโตขึ้นในปี 60 ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 3,130 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากปี 59

 

อันดับที่ 2 บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BEC ซึ่งราคาปรับตัวลง 32.79% นับตั้งแต่ต้นปี ล่าสุดราคาหุ้นปิดตลาดวันที่ 7 พ.ย.59 อยู่ที่ 20.10 บาท ปรับตัวขึ้น 0.10 บาท หรือ 0.50% ด้วยมูลค่าซื้อขายที่ 19.45 ล้านบาท

ด้าน บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ โดยแนะนำ “ถือ” BEC ราคาเป้าหมาย 20 บาท/หุ้น ภายใต้การคาดการณ์ว่าภาพรวมของอุตสาหกรรมเม็ดเงินโฆษณาโดยรวมจะยังมีแนวโน้มอ่อนตัวลงและซบเซาในไตรมาส 4/59 (ซึ่งอยู่ในช่วงของการไว้อาลัย) และต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 1/60 (ซึ่งเป็นช่วงโลว์ซีซั่น)

รวมถึงกำไรสุทธิที่มีแนวโน้มลดลงในช่วงเวลาดังกล่าว เชื่อว่ามันยังคงไม่ใช่โอกาสที่ดีสำหรับการเข้าซื้อหุ้น BEC อีกครั้ง ณ ตอนนี้ ราคาหุ้น BEC ได้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 56 เป็นต้นมาจนถึงจุดต่ำสุด ณ ปัจจุบันเนื่องจากกำไรสุทธิที่ออกมาน่าผิดหวังและการปรับลดประมาณการกำไรสุทธิลงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงภาวะการแข่งขันแย่งชิงเม็ดเงินโฆษณาดิจิตอลที่ยังคงรุนแรง และเนื่องจากยังคงมีความเสี่ยงที่ตลาดอาจจะทำการปรับลดประมาณการกำไรสุทธิของฺ BEC ลงจากเดิมอีก จึงคิดว่าราคาหุ้น BEC ณ ปัจจุบันอาจจะไม่ใช่ราคาที่ถูกมากแล้ว (โดยปัจจุบันซื้อขายกันใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย PER ระยะยาวของหุ้น BEC ซึ่งอยู่ที่ 22.4 เท่า) ในครั้งนี้เราไม่คิดว่ากำไรสุทธิของ BEC จะฟื้นตัวก่อนไตรมาส 2/60 ยังคงคำแนะนำ “ถือ” โดยรอสัญญาณการฟื้นตัวของกำไรสุทธิที่ชัดเจน

 

อันดับที่ 3 บริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 1979 จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD ซึ่งราคาปรับตัวลง 16.23% นับตั้งแต่ต้นปี ล่าสุดราคาหุ้นปิดตลาดวันที่ 7 พ.ย.59 อยู่ที่ 42 บาท ปรับตัวขึ้น 1.25 บาท หรือ 3.07% ด้วยมูลค่าซื้อขายที่ 468.13 ล้านบาท

โดย บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” SAWAD ราคาเป้าหมาย 64 บาท/หุ้น หลังคาดกำไรสุทธิไตรมาส 3/59ยังทำจุดใหม่สูงสุดที่ 505 ล้านบาท เติบโตถึง 37% จากปีก่อน, เติบโต 17% จากปีก่อนผลักดันจากการเติบโตของสินเชื่อที่คาดโต 11%  จากไตรมาสก่อน, โต 35% จากต้นปีรวมถึงต้นทุนเงินทุนที่ลดลง

สำหรับในไตรมาส 4/59 คาดกำไรสุทธิจะทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้ง  จากคาดการเติบโตของสินเชื่ออย่างโดดเด่น ประกอบกับคาดจะสามารถเริ่มรับรู้รายได้มากขึ้นจากการขาย NPL และธุรกิจในเมียนมาร์

 

อันดับที่ 4 บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL ซึ่งราคาปรับตัวลง 13.64% นับตั้งแต่ต้นปี ล่าสุดราคาหุ้นปิดตลาดวันที่ 7 พ.ย.59 อยู่ที่ 36.75 บาท ปรับตัวลง 0.75 บาท หรือ 2% ด้วยมูลค่าซื้อขายที่ 100.03 ล้านบาท

ขณะที่ บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” CENTEL ราคาเป้าหมาย 48 บาท ว่าราคาหุ้น CENTEL ที่ปรับตัวลดลงในช่วงระยะสั้นนั้น เป็นโอกาสที่ดีในการซื้อสะสม เนื่องจากตลาดมีความกังวลมากเกินไปต่อการยกเลิกกิจกรรมต่าง ๆ ในโรงแรม ซึ่งมองว่าทำให้ราคาหุ้นในปัจจุบันซื้อขายที่ระดับมูลค่าหุ้นน่าลงทุน เพราะ CENTEL ซื้อขายที่ PER ปี 59 ที่ 27.5 เท่า ใกล้เคียงกับช่วงหลังเหตุการณ์ระเบิดในกรุงเทพฯที่เกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 3/58 และค่า PER ปี 60 ที่เพียง 24.0 เท่า (เท่าค่าเฉลี่ยปี 49-58)

 

อันดับที่ 5 บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH ซึ่งราคาปรับตัวลง 13.27% นับตั้งแต่ต้นปี ล่าสุดราคาหุ้นปิดตลาดวันที่ 7 พ.ย.59 อยู่ที่ 182.50 บาท ปรับตัวขึ้น 0.50 บาท หรือ 0.27% ด้วยมูลค่าซื้อขายที่ 353.22 ล้านบาท

โดย บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” BH ราคาเป้าหมาย 250 บาท/หุ้น หลังประกาศกำไรหลักไตรมาส 3/59 อยู่ที่ 964 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากปีก่อนและ 14 % โดยผลประกอบการเป็นไปตามที่คาดการณ์แต่สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ 9% เนื่องจากรายได้กลุ่มการพแพทย์ดีกว่าตลาดคาด

ขณะที่คาดว่ากำไรหลักในไตรมาส 4/59 จะยังคงเติบโตได้จากปีก่อนต่อเนื่องเนื่องจากฐานกำไรที่ต่ำในไตรมาส 4/58 ที่ 760 ล้านบาท (ต่ำที่สุดในปี 2558) เนื่องจากปลายปีที่แล้วบริษัทจ่ายโบนัสสำหรับพนักงานครั้งเดียว ซึ่งเราคาดว่าจะไม่เกิดรายการดังกล่าวซ้ำอีกในไตรมาส 4/59 ทั้งนี้คาดการเติบโตในส่วนของ รายได้จากการรักษาพยาบาลในไตรมาส 4/59 คาดว่าจะเติบโตเล็กน้อยถึงปานกลางจากปีก่อนและจะเติบโตเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนอย่างไรก็ตามเราคาดกำไรไตรมาส 4/59 จะปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อนเนื่องจากอัตรากำไรสุทธิที่หดตัวลงตามช่วงที่มิใช่ฤดูกาลที่ดี

 

อนึ่ง ราคาหุ้น บจ.ดังกล่าวมีการปรับตัวลงค่อนข้างมาก ซึ่งอาจจะเกิดจากความกดดันด้านลบของข่าว หรือเศรษฐกิจในประเทศ หรือแม้กระทั่งผลการดำเนินงานที่อาจจะออกมาไม่ดี ส่งผลให้นักลงทุนเกิดความไม่มั่นใจ จึงทำการขายหุ้นทำกำไรออกมา

อย่างไรก็ตามการเข้าลงทุนในบจ.ดังกล่าวในช่วงที่ราคาหุ้นปรับตัวลงก็ยังมีน่าสนใจ เนื่องจากเป็นจังหวะที่ราคาถูก ซึ่งหากพิจารณาแล้วพบว่าพื้นฐานบริษัทยังดี หรือผลการดำเนินงานยังมีกำไร ก็อาจเป็นทางเลือกสำหรับนักลงทุนได้ ทั้งนี้ต้องดูค่า P/E เพื่อประกอบการตัดสินใจด้วยว่าราคาหุ้นนั้นถูก หรือ แพง เมื่อเทียบกับ P/E กลุ่ม

 

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button