BH โตไม่หยุด Q4 ค่ารักษาพยาบาลหนุนชูดาวเด่น Defensive เป้าสูงเกิน 200 บ.
BH โตไม่หยุด Q4 ค่ารักษาพยาบาลหนุน ชูดาวเด่น Defensive ซื้อเป้าสูงเกิน 200 บ.
ช่วงนี้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงสอดคล้องกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่ต่างติดลบกันเป็นส่วนใหญ่ รับผลจากความกังวลนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ทำให้มีการดึงเงินกลับเข้าสหรัฐฯ จากการปรับลดภาษี รวมทั้ง นโยบายด้านการค้าระหว่างประเทศอาจกระทบประเทศเกิดใหม่ ด้วยปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้น ขณะที่เงินบาทอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) รวมถึงราคาน้ำมันก็ย่อตัวลงตาม
แน่นอนการเข้าลงทุนหุ้นจึงต้องเพิ่มความระมัดระวังเพื่อให้เหมาะกับช่วงดังกล่าว และการเลือกลงทุนหุ้น Defensive Stock หรือ หุ้นที่มีเสถียรภาพสูงภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย ในขณะที่ธุรกิจอื่น ๆได้รับผลกระทบในทางลบจากสภาพเศรษฐกิจที่แย่ แต่หุ้นบริษัทไม่ได้รับผล เนื่องจากธุรกิจยังคงมีความต้องการใช้สินค้าหรือบริการ ทำให้บริษัททำกำไรดีดังเดิมน่าจะเป็นหุ้นที่น่าสนใจ
สำหรับบริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH ถือเป็นหุ้นที่ติดอยู่ในกลุ่มดังกล่าวชัดเจน เพราะธุรกิจการแพทย์จัดเป็นกลุ่มหุ้น Defensive Stock เห็นได้จากการใช้บริการรักษาพยาบาลแม้ว่าภาวะเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร อีกทั้งผลกำไรที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปี 56 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 2,520.78 ล้านบาท ปี 57 บริษัทมีกำไรสุทธิ 2,730.30 ล้านบาท และปี 58 บริษัทมีกำไรสุทธิ 3,435.83 ล้านบาท
ล่าสุดไตรมาส 3/59 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.59 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 965.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 843.50 ล้านบาท ขณะที่ 9 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 2.80 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2.67 พันล้านบาท
ส่วนแนวโน้มกำไรสุทธิในไตรมาส 4/59 ที่คาดว่ายังเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามรายได้ค่ารักษาพยาบาลที่ปรับเพิ่มขึ้น และจำนวนผู้ป่วยในประเทศที่เพิ่มขึ้น เพราะไตรมาส 4 นี้ยังมีฝนตกต่อเนื่อง
จากองค์ประกอบข้างตน BH ถือเป็นหุ้นที่โตไม่หยุดอย่างชัดเจน อีกทั้ง ขณะเดียวกัน 5 โบรกฯใหญ่ประสานเสียงแนะซื้อหุ้นรายนี้โดยให้เป้าสูงเกิน 200 บาท BH ก็น่าจะเป็นดาวเด่นของกลุ่มโรงพยาบาลที่น่าจับตาและน่าเก็บอีกราย
บริษัทหลักทรัพย์ | แนะนำ | ราคาปิด ณ 14 พ.ย. | ราคาเป้าหมาย | อัพไซด์ |
บัวหลวง | ซื้อ | 185.00 | 250.00 | 35.14 |
เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ | ซื้อ | 185.00 | 240.00 | 29.73 |
เออีซี | ซื้อ | 185.00 | 220.00 | 18.92 |
เอเซีย พลัส | ซื้อ | 185.00 | 213.00 | 15.14 |
ยูโอบี เคย์เฮียน | ซื้อ | 185.00 | 210.00 | 13.51 |
บล.บัวหลวงระบุในบทวิเคราะห์ว่า แนวโน้มกำไรของ BH ในไตรมาส 4/59 จะยังเติบโตได้เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากรายได้ค่ารักษาพยาบาลที่จะเติบโตได้ในระดับปานกลางจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโตเล็กน้อยจากไตรมาสก่อน อีกทั้งในไตรมาส 4/58 มีฐานกำไรที่ต่ำจากปลายปีที่แล้วบริษัทจ่ายโบนัสและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ สำหรับพนักงาน
อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิในไตรมาส 4/59 จะลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/59 ที่มีกำไรอยู่ที่ราว 966 ล้านบาท เนื่องจากอัตรากำไรสุทธิหดตัวลงตามช่วงที่มิใช่ฤดูกาลที่ดี
ยังคงประมาณการณ์กำไรหลักของ BH ในปีนี้เติบโต 7% จากปีก่อน โดยคาดว่ารายได้จากการแพทย์ในปีนี้จะสามารถเติบโตได้ 5% สูงกว่าเป้าหมายที่ทาง BH ตั้งเป้าเติบโตอยู่ที่ 0-2% เนื่องจากทางโรงพยาบาลได้ปรับราคาค่ารักษาพยาบาลและความรุนแรงของโรคที่เพิ่มขึ้น
บล.เออีซีระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาดว่ากำไรสทธิในไตรมาส 4/59 ของ BH ยังสามารถเติบโตได้เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่จะลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เป็นผลมาจากฤดูกาลที่ไฮซีซั่นจะอยู่ในช่วงไตรมาส 3 และเริ่มลดลงในไตรมาส 4 แต่อย่างไรก็ตามปีนี้ยังมีฝนตกต่อเนื่อง และเข้าสู่ช่วงปลายฝนต้นหนาว ทำให้ผู้ป่วยในประเทศยังมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น
อีกทั้งในไตรมาส 4/59 คาดว่าจะไม่มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่สูงกว่าปกติเหมือนในไตรมาส 4/58 ที่บริษัทจ่ายโบนัสให้กับพนักงาน ทำให้มองว่าผลการดำเนินงานเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนนั้น BH จะยังมีกำไรที่เติบโตได้ และหนุนให้ทั้งปี 59 จะมีกำไรสุทธิเติบโต 6.1% มาอยู่ที่ 3.64 พันล้านบาท ขณะที่ BH ทำกำไรสุทธิช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ ได้แล้วคิดเป็น 77% ประมาณการกำไรทั้งปีแล้ว
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาดว่าแนวโน้มกำไรของ BH ในไตรมาส 4/59 จะเติบโตอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าจำนวนผู้ป่วยต่างชาติมีแนวโน้มลดลง 5.4% โดยเฉพาะลูกค้าจากตะวันออกกลางที่ได้รับผลกระทบภาวะเศรษฐกิจจากราคาน้ำมันที่ผันผวนทำให้อาจชะลอการเข้ามารักษา
แต่ยังมีผลเชิงบวกจากจำนวนผู้ป่วยในประเทศที่คาดว่าจะใช้บริการเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ แต่จะไม่สูงมากเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/59 อีกทั้งค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหนุนผลการดำเนินงานของโรงพยาบาล นอกจากนี้จำนวนผู้ป่วยชาวมองโกเลียมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นหลังจากเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น ก็จะช่วยมาเสริมจำนวนผู้ป่วยต่างชาติด้วย
อย่างไรก็ตาม หากมองในแง่ของกำไรสุทธิเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/59 คาดว่าอาจทำได้ต่ำกว่า เพราะไตรมาส 3 ที่ผ่านมาเป็นช่วงไฮซีซั่นที่ผ่านพ้นไปแล้ว ส่วนกำไรสุทธิทั้งปี 59 ยังคงประมาณการที่ระดับ 3.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระดับ 3.44 พันล้านบาทในปีที่แล้ว