ปรับกลยุทธ์เพิ่มน้ำหนักลงทุนหุ้นรับเหมาฯ เตรียมรับปัจจัยบวกโครงการยักษ์ปีนี้-ปีหน้า

เปิดโผสำรวจผลการดำเนินงาน Q3/59 กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ฟากโบรกฯ แนะนำเพิ่มน้ำหนักกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เตรียมเด้งรับกระทรวงคมนาคมจะมีแผนในการเสนอโครงการลงทุนภาครัฐปี 60 จำนวน 30 โครงการ มูลค่า 6 แสนล้าน


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ ได้ทำการสำรวจผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทั้ง SET ซึ่งอยู่ในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่ประกาศผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/59 ช่วงวันที่ 1 พ.ย. ถึง 15 พ.ย.ที่ผ่านมา สำหรับหุ้นกลุ่มดังกล่าวที่ได้ทำการคัดเลือกมา 4 บจ. ดังนี้ STEC ,UNIQ ,ITD และCK

 

อันดับที่ 1 บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ UNIQ รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/59 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.59 (รวมบริษัทย่อย) มีผลกำไรสุทธิ 266.32ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.246 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 52% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 174.94ล้านบาท หรือมีผลกำไรสุทธิ 0.162บาทต่อหุ้น

โดยผลการดำเนินงานของบริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้นเนื่องจากบริษัทมีรายได้จากการรับเหมาก่อสร้างเพิ่มขึ้น หลังมีความคืบหน้าในการดำเนินก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง – โครงการรถไฟฟ้ามหานคร MRT สายสีเขียว – โครงการก่อสร้างอุโมงค์ส่งน้ำและอาคารประกอบพร้อมส่วนประกอบอื่น – โครงการก่อสร้างระบบส่งน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานผ่านท่อแบบ Hydrant

ขณะที่ผลการดำเนินงานช่วง 9 เดือนแรกมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 612.63ล้านบาท  หรือ 0.567 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 26% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ  484.36ล้านบาท  หรือ 0.448บาทต่อหุ้น

ด้านนักวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า UNIQ รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/59 แข็งแกร่งมากยืนยันแนวโน้มเชิงบวกโดยผลประกอบการดีมาก หลักๆ มาจากรายได้การก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นก้าวกระโดด จากความคืบหน้าในการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดงสัญญาที่ 1, งานโยธาสำหรับสถานีกลางบางซื่อและศูนย์ซ่อมบำรุง, โครงการไฟฟ้าสายสีเขียว (ทางด้านเหนือ), โครงการก่อสร้างอุโมงค์ส่งน้ำและอาคารประกอบพร้อมส่วนประกอบอื่น อุโมงค์ส่งน้ำช่วงแม่งัดแม่กวง สัญญาที่ 2 ฯลฯ

สำหรับปัจจุบัน UNIQ มี backlog (หลังหักการรับรู้รายได้ในไตรมาส 3/59 แล้ว) มูลค่า 2.41 หมื่นล้านบาท เพียงพอสำหรับการรับรู้รายได้ 2 ปีข้างหน้า ทั้งนี้คาดว่ากำไรในไตรมาส 4/59 จะดีขึ้น เนื่องจากการก่อสร้างในมือเร่งตัวขึ้น และอัตราส่วนกำไรขั้นต้นจะดีขึ้น เนื่องจากบริษัทสามารถใช้ประโยชน์จากเครื่องจักรและอุปกรณ์การก่อสร้างได้ดีขึ้น สำหรับงานในมือมีโอกาสเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจาก UNIQ อยู่ระหว่างการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม และต้นปีหน้าจะมีการเปิดประมูลอีกหลายโครงการ

ทั้งนี้ยังแนะนำให้ “ซื้อ” จากแนวโน้มกำไรเติบโตแข็งแกร่งจากงานในมือจำนวนมาก และโอกาสได้งานใหม่ในอนาคตที่จะเปิดประมูลอีกจำนวนมากในปีหน้า อีกทั้งการประเมินมูลค่าที่ถูกเมื่อเทียบกับหุ้นรับเหมาขนาดใหญ่ตัวอื่นๆ โดยราคาหุ้นปัจจุบันคิดเป็น PER เพียง 15 เท่าปีหน้า ประเมินมูลค่าหุ้นที่ 25.5 บาท อิงจาก PER 21.5 เท่าปี 60

 

อันดับที่ 2 บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/59 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.59 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 328.12 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.19 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 283.97 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.17 บาทต่อหุ้น

โดยผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวเพิ่มขึ้นเนื่องจากบริษัทมีรายได้ก่อสร้าง ขายวัสดุ ค่าบริหารโครงการเพิ่มขึ้น

ขณะที่ผลการดำเนินงานช่วง 9 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 1.66 พันล้านบาท หรือ 0.98 บาทต่อหุ้น ลดลง 30% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2.37 พันล้านบาท หรือ 1.40 บาทต่อหุ้น

ด้านนักวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ แนะนำ “ซื้อ” CK ราคาเป้าหมาย 40 บาท/หุ้น หลังผลประกอบการไตรมาส 3/59 ออกมาดี แต่ต่ำกว่าที่คาดไว้ เนื่องจาก SG&A ที่เพิ่มขึ้น (เพิ่มขึ้น 50%จากปีก่อนและ 87%จากไตรมาสก่อน) จากการย้ายพนักงานของโครงการที่เสร็จแล้วไปยังสำนักงานใหญ่ อย่างไรก็ตาม ยังมีมุมมองในเชิงบวกต่องานในอนาคตของ CK ที่สูง และยังคงเพิ่มขึ้นรองรับรายได้ไปอีก 3 ปีข้างหน้า

ทั้งนี้คาดงานในมือของ CK ที่ 7.01 หมื่นล้านบาท พร้อมรองรับรายได้ไปอีก 2 ปี และยังไม่รวมงาน M&E 2.5 หมื่นล้านบาท สำหรับส่วนต่อขยาย MRT สายสีน้ำเงิน (คาด BEM ชนะสัมปทานปีนี้) ทำให้งานในมือเพิ่มขึ้นเป็น 9.5 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ CK ยังได้ร่วมมือกับ STEC ในการประมูลงานของสายสีส้ม 6 สัญญา พร้อมทั้งอยู่ระหว่างการประมูลสายสีชมพูและเหลือง โดยคาดจะรู้ผลในปีหน้า และงานรถไฟรางคู่เราคาดว่าจะได้งานราว 20-25% ทำให้รวมทั้งหมดแล้ว CK จะมีงานในมือรองรับรายได้ไปอย่างน้อยอีก 3 ปี

 

อันดับที่ 3 บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/59 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.59 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 233.49 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.15 บาทต่อหุ้น ลดลง 13.58% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 270.20 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.18 บาทต่อหุ้น

ขณะที่ผลการดำเนินงานช่วง 9 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 706.16 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.46 บาทต่อหุ้น ลดลง 22.90% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 915.91 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.60 บาทต่อหุ้น

ด้านนักวิเคราะห์ บล.เอเชีย เวลท์ ระบุในบทวิเคราะห์ โดยมองว่า STEC รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/59 อยู่ที่ 233 ล้านบาท ลดลง 14% จากปีก่อนแต่เพิ่มขึ้น 14% จากไตรมาสก่อนซึ่งต่ำกว่าประมาณ 10% ที่ 260 ล้านบาท โดยบริษัทมีโอกาสที่จะมี backlog เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ 5 หมื่นล้านบาท เนื่องจากมีโอกาสในการเข้าประมูลจำนวนมาก

ทั้งนี้มองว่าหลัง STEC เข้าถือหุ้น TSE ในสัดส่วน 10% โดยการซื้อหุ้นจำนวน 181.5 ล้านหุ้นจาก WAVE  ข้อตกลงดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความพยายามของบริษัทในขยายธุรกิจเข้าไปในธุรกิจพลังงานในต่างประเทศ TSE มีแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าเป็น 100 เมกะวัตต์ จาก 60 เมกะวัตต์  คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 28 บาท ตาม EV/EBITDA ที่ 15 เท่าในปี 2560

 

อันดับที่ 4 บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/59 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.59 (รวมบริษัทย่อย) มีผลขาดทุนสุทธิ 183.52 ล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 0.0346 บาทต่อหุ้น เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 190.03 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.036 บาทต่อหุ้น

โดยผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวพลิกขาดทุน เนื่องจากรายได้จากการให้บริการรับเหมาก่อสร้าง การขายและให้บริการลดลง  อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มขึ้น

ขณะที่ผลการดำเนินงานช่วง 9 เดือนแรกมีผลขาดทุนสุทธิ 299.09 ล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 0.0566 บาทต่อหุ้น ขาดทุนลดลง 19% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 370.76 ล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 0.0702 บาทต่อหุ้น

ด้านนักวิเคราะห์ บล. คันทรี่ กรุ๊ป ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “เปลี่ยนตัว” ไปลงทุนในบริษัทรับเหมาอื่นที่มีผลประกอบการมีกำไรและมีปัจจัยบวกจากงานก่อสร้างภาครัฐหลัง ITD รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/59 ยังคงพบกับผลขาดทุนต่อเนื่อง โดยในแง่รายได้ที่ปรับตัวลดลงมากเกิดจากรายได้ในประเทศอินเดียที่ลดลงไปกว่า 40%จากไตรมาสก่อนและ 35%จากปีก่อน

ขณะที่รายได้ในประเทศเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าเท่านั้น (เพิ่มขึ้น 3%จากไตรมาสก่อนแต่ยังลดลงกว่า 20%จากปีก่อนหลังจากงานใหม่ที่เข้ามามีมูลค่าไม่มากนัก) รวมถึงภาระดอกเบี้ยจ่ายที่ยังอยู่ในระดับสูง แม้ว่าในงวดนี้จะมีการบันทึกหนี้สงสัยจะสูญเข้ามาเพียง 3 ล้านบาท

สำหรับแนวโน้มในช่วงไตรมาส 4/59 คาดว่าด้วยการเริ่มรับรู้รายได้จากงานสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 ที่เซ็นสัญญาไปในเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา และฐาน Backlog ที่มีอยู่กว่า 2 แสนล้านบาท จะทำให้รายได้มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ แต่ในแง่ผลประกอบการยังไม่อาจประเมินได้เนื่องจากมีข้อมูลหลายส่วนที่ยังมีความเสี่ยงอยู่โดยต้องรอสอบถามเพิ่มเติมกับทางบริษัทอีกครั้ง (ส่วนผลประกอบการทั้งปีมีแนวโน้มขาดทุนหลังจากในช่วง9 เดือนแรกของปี 59 มีผลขาดทุนไปกว่า 299 ล้านบาท)

 

อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/59 ส่วนใหญ่ยังปรับตัวลง แต่นักวิเคราะห์ยังแนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุน เนื่องจากมองว่าในช่วงที่เหลือของปีจนถึงต้นปีหน้าจะมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐหลายโครงการ ซึ่งจะส่งผลให้ผลการดำเนินการมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้ดี ด้านราคาหุ้นมองว่ามีโอกาสปรับตัวขึ้นรับปัจจัยบวกดังกล่าวได้

โดยนักวิเคราะห์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ โดยแนะนำเพิ่มน้ำหนักกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง มองรับประเด็นบวกกระทรวงคมนาคมจะมีแผนในการเสนอโครงการลงทุนภาครัฐปี 60 จำนวน 30 โครงการ มูลค่า 6 แสนล้านบาทเข้าในที่ประชุม และบางโครงการจะมีการใช้ ม.44 เพื่อดำเนินการประมูลควบคู่ไปกับการจัดทำขั้นตอนรายงานผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (EIA) เพิ่มความรวดเร็วอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีโครงการที่ตกหล่นจากปี 59 อีก 2 โครงการได้แก่โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงและสายสีม่วงใต้ รวมมูลค่าทั้งสิ้นประมาณ 1.40 แสนล้านบาท

นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องของความชัดเจนในการตั้ง Thailand Future Fund ที่ประชุม ครม. มีการเห็นชอบร่าง พรบ. กองทุนเพื่อสนับสนุนกองทุน Thailand Future Fund เพื่อเป็นการประกันผลตอบแทนให้กับนักลงทุน ซึ่งถือเป็นความชัดเจนสำหรับโครงการ Thailand Future Fund ที่ ครม. มีมติจัดตั้งกองทุนก่อนหน้านี้ แล้ว โดยจะเริ่มต้นด้วย 3 โครงการแรกของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย คือ ทางด่วนเส้นบูรพาวิถี ทางด่วนเส้นฉลองรัช และทางด่วนเส้นบางพลีสุขสวัสดิ์

ทั้งนี้ให้น้ำหนักการลงทุนหุ้นกลุ่มรับเหมาเป็น Overweight เนื่องจากเล็งเห็นถึงความชัดเจนเรื่องโครงการภาครัฐปี 60 จึงเลือกหุ้นที่มีลักษณะเป็น pure play มาเป็นหุ้น top pick แม้ว่า STEC จะเจอแรงกดดันจากงานรัฐสภาซึ่งมีมาร์จินเป็น 0 แต่บริษัทได้มีการตั้งสำรองผลขาดทุนของโครงการไปแล้วประมาณ 400 ล้านบาท

Back to top button