เปิดกรุ 7 หุ้นดาวเด่นกลุ่มอุตสาหกรรมบริการชูกำไร Q3 โตเกิน 100% ลุ้น Q4 เด่นต่อเนื่อง
เปิดกรุ 7 หุ้นดาวเด่น "กลุ่มอุตสาหกรรมบริการ" ชูกำไร Q3 โตเกิน100% ลุ้น Q4 เด่นต่อเนื่อง
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์”ได้ทำการสำรวจบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มอุตสาหกรรมบริการ เนื่องจากกลุ่มดังกล่าวมีธุรกิจที่หลากหลาย อาทิ หมวดสื่อและสิ่งพิมพ์,หมวดพาณิชย์,หมวดการแพทย์,หมวดขนส่งและโลจิสติกส์,หมวดการท่องเที่ยวและสันทนาการ และหมวดบริการเฉพาะกิจ
จากความหลากหลายของธุรกิจทำให้นักลงทุนสนใจเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง ยิ่งในช่วงนี้รัฐบาลมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจปลายปีออกมา ยิ่งทำให้หุ้นในหมวดธุรกิจค้าปลีก,ท่องเทียว,การแพทย์ กลายเป็นพระเอกของงานแเนื่องจากนักวิเคราะห์มองว่าผลประกอบการไตรมาสสุดท้ายของปีน่าจะโดดเด่นอีกครั้ง
โดยหุ้นที่น่าจับตาและคาดว่าจะทำผลงานได้โดดเด่นต่อเนื่องคือ AAV, COM7, RJH, IT, WORK, BJC และ BEAUTY เนื่องจากหุ้นดังกล่าวมีกำไรสุทธิเติบโตเกิน 100% ไม่เพียงผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งแล้วยังเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะได้เลือกหุ้นดีๆเข้าพอร์ตอีกทาง
หลักทรัพย์ | กำไร Q3/59 | กำไร Q3/58 | เปลี่ยนแปลง | กลุ่มอุตสาหกรรม | หมวดธุรกิจ | |
ล้านบาท | ล้านบาท | % | ||||
AAV | 396.63 | 91.60 | 305.03 | 333 | บริการ | ขนส่งและโลจิสติกส์ |
COM7 | 90.75 | 30.30 | 60.46 | 200 | บริการ | พาณิชย์ |
RJH | 48.78 | 19.90 | 28.88 | 145 | บริการ | การแพทย์ |
IT | 11.81 | 4.94 | 6.87 | 139 | บริการ | พาณิชย์ |
WORK | 108.02 | 46.09 | 61.93 | 134 | บริการ | สื่อและสิ่งพิมพ์ |
BJC | 1800.36 | 825.17 | 975.19 | 118 | บริการ | พาณิชย์ |
BEAUTY | 210.25 | 101.9 | 108.35 | 106 | บริการ | พาณิชย์ |
อันดับ 1 บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/59 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.59 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 396.63 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.0818 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 333% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 91.60 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.0189 บาทต่อหุ้นโดยผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวมีกำไรเพิ่มขึ้นเนื่องจากจำนวนผู้โดยสารยังคงเติบโตและต้นทุนเชื้อเพลิงลดลง
พร้อมกันนี้ บริษัทได้ประกาศจ่ายเงินปันผลงวดดำเนินงานวันที่ 1 ม.ค.59 ถึงวันที่ 11 พ.ย. 59 และกำไรสะสม อัตราจ่ายเป็นเงินสด 0.15 บาทต่อหุ้น โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD ไม่ได้รับสิทธิปันผลในวันที่ 22 พ.ย.59 กำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 7 ธ.ค.2559
บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แนะนำ”ซื้อ”หุ้น AAV ด้วยราคาเป้าหมาย 8.40 บาท/หุ้น โดยมองว่ากำไรของ AAV งวดไตรมาส 3/59 ออกมาก็ดีขึ้น และเชื่อว่าผลการดำเนินงานจะค่อย ๆ ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องนอกจากนี้ ราคาหุ้น AAV ก็ยังถูกอยู่ โดยเทรด P/E ที่ยังไม่แพง ขณะที่ AAV ยังมีศักยภาพในการเติบโตของกำไรที่ดี
อันดับ 2 บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/59 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.59 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 90.75 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.08 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 200% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 30.30 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.03 บาทต่อหุ้น
บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า COM7 (เป้าสูงสุดใน Consensus 15 บาท … คาดมีโอกาสปรับขึ้น) 1) วันศุกร์ราคาหุ้นขึ้นทดสอบแนวต้าน 13.7 บาท หากทะลุผ่านได้มีโอกาสปรับขึ้นทดสอบแนวต้านถัดไปที่ ±15 บาท แนวรับ 13.3 – 13.5 บาท
2) Catalyst บวกคือ ภาครัฐฯมีโอกาสใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจปลายปี – ต้นปีหน้า (เบื้องต้นเราคาดจะใช้มาตรการคล้ายกับปี 2558 คือสามารถนำบิลซื้อสินค้า-บริการมาลดหย่อนภาษี และอาจขยายกรอบวงเงินจากเดิม 1.5 หมื่นบาท เป็น 3.0 หมื่นบาท) ซึ่งในกรณีนี้ กลุ่มลูกค้าของ COM7 จัดเป็นกลุ่มลูกค้าระดับกลาง – บน ที่มีฐานภาษี
3) คาดกำไรไตรมาส 4/59 จะทำนิวไฮมากกว่าที่ Consensus คาด ด้วยแรงหนุน i) iPhone7 ii) การเป็นพันธมิตรกับ TRUE* (ขายเครื่องพ่วงซิม+บริหาร True shop) iii) การเข้าซื้อหุ้นบานาน่าชัวร์ 100% ทำให้ได้ประโยชน์จากมือถือรุ่นใหม่ยี่ห้ออื่นนอกจาก Apple (เช่น หัวเว่ย) และเป็นการเพิ่มอำนาจต่อรองกับคู่ค้า iv) การกระตุ้นยอดใช้จ่ายด้วยมาตรการภาครัฐฯ
อันดับ 3 บริษัท โรงพยาบาลราชธานี จำกัด (มหาชน) หรือ RJH รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/59 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.59 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 48.78 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.19 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 145% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 19.90 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.09 บาทต่อหุ้น
โดยผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวมีกำไรเพิ่มขึ้น เนื่องจากรายได้จากกิจการโรงพยาบาลซึ่งเกิดจากการลงทุนเพิ่มศักยภาพในการรักษาพยาบาลเพิ่มขึ้น ประกอบกับการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 30 บาท/หุ้น โดยคาดว่ากำไรในไตรมาส 4/59 จะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดตั้งแต่ตั้งโรงพยาบาลมา กำไรเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนน่าจะเติบโตดี แม้จะลดลงเล็กน้อยเทียบไตรมาสก่อนหน้า
ซึ่งเป็นปกติของกลุ่มโรงพยาบาล กำไรที่ดีจะมาจากฐานที่ต่ำใน 4/58 ที่มีกำไรเพียง 25 ล้านบาท ซึ่งถือว่าน้อยมาก (กำไรในช่วง low season 2/16 ที่ 28 ล้านบาทยังสูงกว่า) จำนวนผู้ป่วยคิดว่าน่าจะเพิ่มขึ้นมากเป็นปกติของไตรมาส 4 ซึ่งมักเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดอันดับ 2 รองจากไตรมาส 3
คาดการณ์ว่า Utilization rate ในเดือนตุลาคมจะอยู่ในระดับสูง การควบคุมต้นทุนคาดว่าจะยังดีต่อเนื่อง ทำให้ตัวอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ระดับสูง นอกจากนี้ RJH ยังมีแผนชำระเงินกู้เพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้ดอกเบี้ยจ่ายลดลงอย่างต่อเนื่องทำให้อัตรากำไรสุทธิสูงขึ้นอีก
อันดับ 4 บริษัท ไอที ซิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ IT รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/59 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.59 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 11.81 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.034 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 139% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 4.94 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.014 บาทต่อหุ้น โดยผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวมีกำไรเพิ่มขึ้นเนื่องจากต้นทุนขายและบริการลดลง
อันดับ 5 บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ WORK รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/59 สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.59 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 108.02 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.321 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 31% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 46.09 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.11 บาทต่อหุ้นโดยผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวมีกำไรเพิ่มขึ้นเนื่องจากบริษัทมีรายได้จากธุรกิจโทรทัศน์เพิ่มขึ้น
บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่าแนะนำ “ซื้อ” WORK จาก 1) คาดไตรมาส 4/59 ได้รับผลกระทบระยะสั้นหลังจากเริ่มออกอากาศได้ตามปกติ 14 พ.ย. เป็นต้นไป 2) เรตติ้งยังคงอันดับ 3 จากคอนเทนท์วาไรตี้ที่เป็นที่นิยม 3) คาดกำไรปี 2016-17F เติบโตต่อเนื่องได้จากการปรับอัตราค่าโฆษาที่เพิ่มขึ้นตามเรตติ้งที่เพิ่มขึ้น ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 48 บาท
อันดับ 6 บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/59 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.59 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 1.80 พันล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.57 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 118% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 825.17 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.52 บาทต่อหุ้น
โดยผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากบริษัทรายงานรายได้รวมในไตรมาส 3/59 เท่ากับ 38,135 ล้านบาท เติบโตที่ 26,956 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 241.1 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยการเติบโตหลักเกิดจากกลุ่มสินค้าและบริการทางการค้าปลีกสมัยใหม่ (บิ๊กซี)
บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แนะนำ“ซื้อ” BJC ปรับเป้าหมายพื้นฐานขึ้นเป็น 62 บาท และปรับประมาณการกำไรปี 2559-2561 ขึ้นจากเดิม 8-12% กำไรไตรมาส 4/59 จะยังแข็งแกร่งต่อ เนื่องจากเป็นช่วง High Season ของธุรกิจค้าปลีก และการลดดอกเบี้ยจ่ายลง คาดกำไรที่ 1.67 พันล้านบาท +146% y-y และ +133% q-q 3) Synergy ในการทำ Private brand และ Cross-sell สินค้า หนุนการเติบโตกำไรปี 2016-19 เฉลี่ย 47% และ 4) MSCI นำ BJC เข้าดัชนีอ้างอิงปลายเดือนนี้ เป็นปัจจัยบวกต่อราคาหุ้นในช่วง 1-2 สัปดาห์นี้
อันดับ 7 บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/59 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.59 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 210.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 106% หรือกำไรสุทธิ 0.07 บาทต่อหุ้น จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 101.90 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.03 บาทต่อหุ้น
บล.กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ว่า กลุ่มพาณิชย์จากข่าวที่กระทรวงการคลังฯเตรียมเสนอมาตรการลดภาษีนำเข้าสินค้าเครื่องสำอางค์และน้ำหอมเป็นการชั่วคราวในปี 60 เชื่อว่าประเด็นนี้จะไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความสามารถในการแข่งขันของ BEAUTY และ KAMART กับแบรนด์นำเข้าต่างๆ
เนื่องจาก 1) แม้เรามองสินค้าที่นำเข้าจากฝั่งยุโรปและอเมริกาจะได้ประโยชน์เป็นหลักจากมาตรการนี้ แต่สินค้าดังกล่าวมักมีกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้สูง (Hi-End) ซึ่งเป็นคนละกลุ่มกับลูกค้าของ BEAUTY และ KAMART และ 2) กลุ่มสินค้านำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีที่น่าจะเป็นคู่แข่งโดยตรงต่อ BEAUTY และ KAMART ก็น่าจะได้ประโยชน์เล็กน้อยเท่านั้นเนื่องจากปัจจุบันสินค้าที่นำเข้าจากทั้ง 2 ประเทศนี้เสียภาษีนำเข้าในอัตราเพียง 5-7% อยู่แล้ว ดังนั้น เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” BEAUTY ที่ราคาเป้าหมาย 15.50 บาท และ คงคำแนะนำ “ถือ” KAMART ที่ราคาเป้าหมาย 11.60 บาท นอกจากนี้ เราคงคำแนะนำลงทุน “มากกว่าตลาด” สำหรับกลุ่มพาณิชย์
*อนึ่งข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน