เปิด 5 หุ้นนักลงทุนเล่นไม่เลิก!ชู 11 เดือนรับรีเทิร์นเกิน 200%

เปิด 5 หุ้นนักลงทุนเล่นไม่เลิก! ชู 11 เดือนรับรีเทิร์นเกิน 200% นำโดย TFG,MALEE,BIG,GL และTKN


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ SET ช่วง 11 เดือนแรกปี 59 โดยเทียบราคาปิด ณ วันที่ 30 ธ.ค.58-30 พ.ย.59 โดยการสำรวจครั้งนี้จะขอนำเสนอหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงเกิน 200 % เท่านั้น เนื่องจากเห็นว่าหุ้นเหล่านี้มีผลตอบแทนโดดเด่นและเป็นหุ้นที่นักลงทุนเข้าลงทุนอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกันหุ้นกลุ่มนี้ให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาด โดยเห็นได้จากการปรับตัวของดัชนีในช่วง 11 เดือน ที่เพิ่มขึ้นเพียง 17.25% โดยเทียบดัชนี ณ วันที่  30 ธ.ค.58 อยู่ที่ระดับ 1288.02 จุด เพิ่มขึ้น 222.22 จุด มาอยู่ที่ระดับ 1510.24 จุด ณ วันที่ 30 พ.ย.59 โดยหุ้นที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวมีทั้งหมด 5 ตัว คือ TFG, MALEE, BIG, GL และ TKN ดังตารางประกอบดังนี้

หลักทรัพย์ 30-พ.ย.-59 31-ธ.ค.-58 เปลี่ยนแปลง
บาท %
TFG 7.05 1.54 5.51 357.79
MALEE 112.00 28.50 83.50 292.98
BIG 5.75 1.55 4.20 270.97
GL 58.00 18.20 39.80 218.68
TKN 27.00 8.55 18.45 215.79

 

อันดับ 1 บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TFGราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 357.79% จากราคา ณ วันที่ 30 ธ.ค. 58 อยู่ที่ระดับ 1.54 บาท บวก 5.51 บาท มาอยู่ที่ 7.05 บาท ณ วันที่ 30 พ.ย. 59 โดยราคาหุ้นปรับตัวแรงตลอด 11 เดือน ที่ผ่านมา  เนื่องจากนักลงทุนมั่นใจในตัวธุรกิจบริษัทซึ่งประกอบธุรกิจเป็นผู้ผลิตอาหารแบบครบวงจร ตั้งแต่การเพาะพันธุ์ไปจนถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปทำให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรต่อเนื่อง

ประกอบกับผลการดำเนินงานที่ออกมาอย่างโดดเด่น โดยไตรมาส 3/59 บริษัทมีกำไรสุทธิ 531.71 บาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.10 บาทต่อหุ้น จากช่วงเดียวกันของปีก่อนชาดทุนสุทธิ 276.02 ล้านบาท หรือมีขาดทุนสุทธิ 0.07 บาทต่อหุ้น เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากธุรกิจไก่และสุกรเพิ่มขึ้น

ส่วนผลการดำเนินงานช่วง 9 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 1.40 พันล้านบาท หรือ 0.28 บาทต่อหุ้น จากช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 1.20 พันล้านบาท หรือ 0.30 บาทต่อหุ้น

อีกทั้งมีแผนงานธุรกิจออกมาอย่างต่อเนื่องอาทิ เปิดบริษัทย่อย “ไทยฟู้ดส์ เฟอร์เธอร์” ลุยธุรกิจผลิตและจำหน่ายไก่ปรุงสุก หวังขยายช่องทางธุรกิจ-เพิ่มแหล่งรายได้อีกทั้ง เซ็น MOU ให้ทุนหนุนงานวิจัยเทคโนโลยีผลิตอาหารสัตว์ และเนื้อสัตว์เชื่อช่วยต่อยอดธุรกิจ

บริษัทคาดในปี 60 รายได้จะเติบโตราว 10-20% จากปีนี้ที่รายได้มีโอกาสทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 2 หมื่นล้านบาท ตามปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นและราคาขายเนื้อสัตว์ดีขึ้น ขณะที่อัตรากำไรสุทธิจะพุ่งขึ้นเป็นสูงกว่า 10% จากราว 8.8% ในปีนี้ และยังเตรียมออกหุ้นกู้ราว 1 พันล้านบาทเพื่อสร้างโรงงานใหม่

บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำซื้อ TFG ล่าสุดเมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 59 ราคาสุกรหน้าฟาร์มอยู่ที่ 62 บาท/ก.ก.เพิ่มขึ้น 1.6% จากสัปดาห์ก่อนหน้า เนื่องจากเข้าใกล้เทศกาลวันหยุดยาวช่วงปลายปีหนุนแนวโน้มการบริโภคเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน

อีกทั้งประเทศจีนยังมีปัญหาสุกรขาดตลาด ทำให้ต้องนำเข้าสุกรจากแนวชายแดนประเทศไทย ยังคงเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาสุกรในประเทศปรับเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน ไปอยู่ที่ระดับ 65-70 บาท/ก.ก. TFG มีโครงสร้างรายได้จากธุรกิจฟาร์มสุกรในประเทศไทยราว 26% ของรายได้รวม

 

อันดับ 2  บริษัท มาลีกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MALEEราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 292.98% จากราคา ณ วันที่ 30 ธ.ค. 58 อยู่ที่ระดับ 28.50 บาท  บวก 83.50 บาท มาอยู่ที่ 112.00 บาท ณ วันที่ 30 พ.ย.59 โดยราคาหุ้นที่ปรับตัวแรงในรอบ 11  เดือน ส่วนใหญ่ได้รับแรงหนุนในเรื่องแผนงานในเรื่องธุรกิจที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งและมีกำไรเพิ่มขึ้นทำให้นักลงทุนมั่นใจเข้าลงทุน ประกอบกับบทวิเคราะห์ที่ออกมาอย่างต่อเนื่องและแนะนำให้ซื้อหนุนอีกทางทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นทำนิวไฮไม่หยุด

บริษัทมั่นใจปีนี้ยอดขายโต 20% จากปีก่อนที่มียอดขาย 5,512.41 ล้านบาท หลังจากไตรมาส 2/59 ผลประกอบการทำสถิติสูงสุดใหม่นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท ซึ่งเป็นไปตามแนวโน้มธุรกิจพัฒนาผลิตภัณฑ์ตามสัญญาและรับจ้างผลิต (Contract Manufacturing Business: CMG) ที่มีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงธุรกิจตราสินค้าของบริษัท (Branded Business: Brand)ที่มีแนวโน้มขยายตัวอย่างแข็งแกร่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ

บล.ไอร่า ระบุในบทวิเคราะห์ว่า MALEE มีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจรับจ้างผลิตเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงกว่า 1 ปีที่ผ่านมา โดยไตรมาส 3/59 มีรายได้จากธุรกิจรับจ้างผลิต 1,009 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเท่าตัว จาก 585 ล้านบาท เมื่อไตรมาส3/588 หลักๆ จากตลาดน้ำมะพร้าวโลก ที่เติบโตต่อเนื่อง และคาดจะเติบโตในอัตราสูงต่อไป คาด MALEE สามารถเติบโตไปพร้อมกับลูกค้า และตลาดน้ำมะพร้าวได้ โดยเฉพาะจากลูกค้า ที่เป็นผู้จัดจำหน่ายน้ำมะพร้าวรายใหญ่ในสหรัฐฯ ซึ่งกำลังขยายตลาดไปยังยุโรปและออสเตรเลีย

รวมถึงตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในฟิลิปปินส์ ที่มีมูลค่าสูงกว่า 2 แสนล้านบาท และมีจำนวนประชากรสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของอาเซียน คาดเป็นปัจจัยที่ช่วยผลักดันยอดส่งออกของ MALEE ให้เติบโตมากยิ่งขึ้น นอกจากกาแฟกระป๋องพร้อมดื่มที่วางขายในช่วงไตรมาส 2/59 MALEE ยังมีแผนจะเพิ่มยอดขายในฟิลิปปินส์ ด้วยการเปิดตัว 2 สินค้าใหม่ที่จะวางขายในช่วงครึ่งปีแรกและครึ่งปีหลังของปี60

โดยคาด MALEE มีผลการดำเนินงานเติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมคาดกำไรสุทธิปี 60 ที่ 607 ล้านบาท หรือ 4.34 บาท/หุ้น และคาดอัตราการเติบโตของกำไรเฉลี่ย 3 ปีข้างหน้า ประมาณ 29% และ ROE เฉลี่ย 33% แนะนำซื้อราคาเป้าหมาย 130.00 บาท

 

อันดับ 3 บริษัท บิ๊ก คาเมร่า คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BIG ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 270.97% จากราคา ณ วันที่ 30 ธ.ค. 58 อยู่ที่ระดับ 1.55 บาท บวก 4.20 บาท มาอยู่ที่ 5.75 บาท ณ วันที่ 30 พ.ย.59 โดยราคาหุ้นที่ปรับตัวแรงในรอบ 11 เดือน มีปัจจัยหลายด้านอาทิ แผนงานธุรกิจที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง และผลการดำเนินงานที่สดใส และโบรกเกอร์แนะนำให้ลงทุนยิ่งเป็นแรงหนุนให้หุ้นปรับตัวขึ้นแรง โดยผลการดำเนินงานช่วง 9 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 545.60  ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 8.20 ล้านบาท

บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ว่า หุ้นในกลุ่มขนาดกลางถึงเล็กจะยังมีแรงเก็งกำไรกันต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ อาทิ 1)กลุ่มค้าปลีก (ROBINS BIG JMART COM7 HMPRO GLOBAL) ลุ้นที่ประชุม ครม. (7 ธ.ค.) อนุมัติมาตรการ ช้อปปิ้งช่วยชาติ และนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือย อาทิเครื่องสำอาง และน้ำหอม

ด้านแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/59 คาดว่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/59 โดยได้รับอานิสงส์จากไลน์อัพสินค้าใหม่ของทุกๆ ค่ายกล้องถ่ายภาพยักษ์ใหญ่ไม่ว่าจะเป็น Fuji, Olympus, Sony, Panasonic ได้ทยอยเปิดตัวสินค้า และจะพร้อมวางจำหน่ายในช่วงไตรมาส 4/59 ซึ่งถือเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ

สำหรับในปี 59 คาดว่ารายได้จะเติบโต 10-15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งในส่วนของกำไรมีโอกาสทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยได้รับปัจจัยหนุนจากยอดขายกล้องถ่ายภาพที่ยังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

 

อันดับ 4 บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GLราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 218.68% จากราคา ณ วันที่ 30 ธ.ค. 58 อยู่ที่ระดับ 18.20 บาท บวก 39.80 บาท มาอยู่ที่ 58.00 บาท ณ วันที่ 30 พ.ย.59 โดยราคาหุ้นที่ปรับตัวแรงในรอบ 11 เดือน มีปัจจัยหลายด้าน อาทิ แผนธุรกิจที่ออกมาอย่างต่อเนื่องทั้งการรุกธุรกิจในประเทศและต่างประเทศ ส่งผลให้ธุรกิจทำสร้างกำไรอย่างโดดเด่นในช่วงที่ผ่านมา ขณะเดียวกันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจก็ช่วยหนุนอีกแรง ทำให้โบรกเกอร์หลายสำนักประสานเสียงแนะซื้อหุ้น GL มาโดยตลอด

สำหรับผลการดำเนินงานช่วง 9 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 738.98 ล้านบาท หรือ 0.4844 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 89% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 389.98  ล้านบาท หรือ 0.3439 บาทต่อหุ้น เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกผลเช่าซื้อ การเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกผลจากสินเชื่อแก่ผู้บริโภคโดยมีสินทรัพย์ค้าประกัน การเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้กู้ยืม และการลดลงของต้นทุนสินเชื่อ

บริษัทคาดผลกำไรในปี 60 มีโอกาสทะยานขึ้นต่ออีกเท่าตัวเป็นไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท จากปีนี้ที่มั่นใจว่ากำไรสุทธิทั้งปีจะบรรลุเป้าหมาย 1,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณเท่าตัวจากกำไรสุทธิประมาณ 600 ล้านบาทเมื่อปีที่แล้ว

 

อันดับ 5 บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 215.79% จากราคา ณ วันที่ 30 ธ.ค. 58 อยู่ที่ระดับ 8.55 บาท บวก 18.45 บาท มาอยู่ที่ 27.00 บาท ณ วันที่ 30 พ.ย. 59 โดยราคาหุ้นที่ปรับตัวแรงในรอบ 11 เดือน ส่วนใหญ่ได้รับแรงหนุนในเรื่องทิศทางธุรกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นกลยุทธ์การสร้างกลุ่มลูกค้ารายใหม่ ด้วยการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าในแต่ละกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น  

บริษัทเพิ่มเป้ายอดขายปีนี้เป็นเติบโต 25% มาอยู่ที่ 4.3 พันล้านบาท จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้เติบโต 10-15% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 3.5 พันล้านบาท เนื่องจากประสบความสำเร็จจากการขยายการส่งออกสินค้าไปตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในจีนและเวียดนาม ที่สินค้าของบริษัทได้รับความนิยมอย่างมาก ทำให้ปัจจุบันสัดส่วนยอดขายในต่างประเทศอยู่ที่ 60% และสัดส่วนยอดขายในประเทศอยู่ที่ 40% ซึ่งคาดว่าทั้งปีนี้สัดส่วนยอดขายจะยังคงอยู่ในระดับดังกล่าวต่อไป

บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์คาดกำไรงวดไตรมาส 4/59 ของ TKN จะไปถึงจุดที่กำไรทำได้สูงสุด เพราะใช้กำลังการผลิตเต็มที่ มีกำลังการผลิตเพิ่มอีก 35 ตันต่อเดือน จากปัจจุบัน 500 ตันต่อเดือน มีการปรับเพิ่มประมาณการปี 59 อีก 7% ด้วยสมมุติฐานยอดขายจากประเทศจีนที่ดีขึ้น รวมทั้งสัดส่วนการขายไปยังต่างประเทศเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งมีข้อดีคือ ค่าใช้จ่ายการขายน้อยกว่าในประเทศ

คงคำแนะนำ ซื้อ ด้วยราคาพื้นฐาน 32.00 บาท ซึ่งประเมินด้วย P/E ปี 60 ที่ 38 เท่า ซึ่งสูงกว่า peer ที่เป็น 18.3 เท่า ที่ให้ส่วนเพิ่ม (Premium) เพราะมีอัตราการเติบโตผลกำไรปี 59-62 เฉลี่ยแบบ CAGR มากเป็น 38% ROE ก็อยู่ในเกณฑ์ที่มาก คาดสิ้นปีนี้เป็น 37.6% และฐานะการเงินดี เป็นเงินสดสุทธิ (Net Cash Position) มาอย่างต่อเนื่อง

 

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button