เปิด 5 หุ้น mai แมงเม่าสุดฟิน!ชู 11 เดือนรับรีเทิร์นเกิน 100%
เปิด 5 หุ้น mai แมงเม่าสุดฟิน! ชู11 เดือนรับรีเทิร์นเกิน 100% นำโดยYUASA,KOOL,QTC,TNP และ ABICO
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ mai ช่วง 11 เดือน ปี 2559 โดยเทียบราคาปิด ณ วันที่ 30 ธ.ค.58 – 30 พ.ย.59 โดยการสำรวจครั้งนี้จะขอนำเสนอหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเกิน 100% เท่านั้น เนื่องจากเห็นว่าหุ้นเหล่านี้มีผลตอบแทนโดดเด่นและน่าสนใจ โดยครั้งนี้มีหุ้นเข้าเกณฑ์ดังกล่าว 5 ตัว คือ YUASA, KOOL, QTC, TNP และ ABICO ตามตารางประกอบดังนี้
หลักทรัพย์ | 30-พ.ย.-59 | 31-ธ.ค.-58 | เปลี่ยนแปลง | |
บาท | % | |||
YUASA | 32.25 | 6.55 | 25.7 | 392.37 |
KOOL | 5.60 | 1.25 | 4.35 | 348.00 |
QTC | 19.90 | 5.10 | 14.8 | 290.20 |
TNP | 3.20 | 1.33 | 1.87 | 140.60 |
ABICO | 15.80 | 7.60 | 8.2 | 107.89 |
อันดับ 1บริษัท ยัวซ่าแบตเตอรี่ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ YUASA ราคาช่วง 11 เดือนแรก ปรับตัวเพิ่มขึ้น 392.37% จากราคา ณ วันที่ 30 ธ.ค. 58 อยู่ที่ระดับ 6.55 บาท บวก 25.70 บาท มาอยู่ที่ 32.25 บาท ณ วันที่ 30 พ.ย.59 ราคาหุ้นที่ปรับตัวแรงเนื่องจากมีประเด็นโครงการรถคันแรก โดยเฉพาะกลุ่มอีโคคาร์ ถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่แล้ว เพราะแบตเตอรี่มีอายุแค่ 18-24 เดือน โดยคาดว่ารถยนต์จากโครงการรถคันแรกเหล่านี้จะมาทยอยเปลี่ยนแบตเตอรี่กันในปีนี้ไปจนถึงปีหน้า ตรงนี้อาจจะเป็นปัจจัยที่เข้ามาช่วยหนุนยอดขายแบตเตอรี่ได้
อีกทั้งช่วงที่ผ่านสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเห็นชอบส่งเสริมการลงทุน รถยนต์ไฟฟ้า และ ไฮบริด โดยให้ยกเว้นภาษีสูงสุดไม่เกิน 8 ปี และครอบคลุมถึงชิ้นส่วนสำคัญ เช่น แบตเตอรี่ มอเตอร์ แอร์ ฯลฯ ให้งดภาษีรายการละ 1 ปี สูงสุดไม่เกิน 5 ปี ยิ่งเป็นแรงหนุนให้ราคาหุ้นขยับขึ้นแรงต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันผลการดำเนินงานช่วง 9 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 91.03 ล้านบาท หรือ 0.85 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 105% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 44.39 พันล้านบาท หรือ 0.41บาทต่อหุ้น เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากการจำหน่ายสินค้าในตลาดส่งออกและตลาดทดแทนภายในประเทศเพิ่มขึ้น และมีต้นทุนการขายลดลง ยิ่งเป็นแรงหนุนให้ราคาหุ้นปรับตัวแรง
อันดับ 2 บริษัท มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ KOOL ราคาช่วง 11 เดือนแรก ปรับตัวเพิ่มขึ้น 348% จากราคา ณ วันที่ 30 ธ.ค. 58 อยู่ที่ระดับ 1.25 บาท บวก 4.35 บาท มาอยู่ที่ 5.60 บาท ณ วันที่ 30 พ.ย. 59 ราคาหุ้นที่ปรับตัวแรงมีปัจจัยบวกหลายด้านอาทิแผนงานธุรกิจที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง และแนวโน้มผลการดำเนินงานที่สดใส ประกอบกับเทคนิคราคาหุ้นเป็นขาขึ้น อีกทั้งนักวิเคราะห์แนะนำเข้าซื้อพร้อมปรับราคาเป้าหมายตรงนี้ยิ่งเป็นแรงหนุนให้หุ้นขึ้นแรงต่อเนื่อง
ล่าสุดบริษีทคาดรายได้ปี 60 จะเติบโตได้ 42% จากปีนี้ที่น่าจะทำรายได้ราว 900 ล้านบาท หลังจาก 9 เดือนแรกทำได้แล้ว 771.45 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 640.78 ล้านบาท โดยในปีหน้าบริษัทจะมีการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศตามความต้องการใช้สินค้าที่เพิ่มขึ้น รวมถึงเตรียมออกสินค้าใหม่นอกเหนือจากกลุ่มพัดลมไอเย็น
บล.เอเอสแอล ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ราคาหุ้น KOOL ปรับเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดที่ 7.00 บาทในช่วงที่ผ่านมา คิดเป็นการปรับตัวเพิ่มกว่า 271% จากคำแนะนำครั้งแรกงที่ 2.58 บาท (21 มิถุนายน 59) ทั้งนี้ประเมินมูลค่าเหมาะสมใหม่ปี 60 (Fair Value) ของ KOOL ไว้ที่ 6.60 บาท โดยใช้วิธี Forward price to earnings หรือ Forward P/E (อิง EPS ปี 2017 ที่ 0.25 บาทต่อหุ้น และคงใช้ P/E เฉลี่ยกลุ่ม COMM ประมาณ 25.00 เท่า)
อันดับ 3 บริษัท คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ QTC ราคาช่วง 11 เดือนแรก ปรับตัวเพิ่มขึ้น 290% จากราคา ณ วันที่ 30 ธ.ค. 58 อยู่ที่ระดับ 5.10 บาท บวก 14.80 บาท มาอยู่ที่ 19.90 บาท ณ วันที่ 30 พ.ย. 59 ราคาหุ้นที่ปรับตัวแรงมีปัจจัยหลายด้าน
โดยเฉพาะประเด็นประกาศเพิ่มทุนจาก 200 ล้านบาท เป็น 270 ล้านบาท โดยการเสนอขายต่อบุคคลในวงจำกัด ในราคาหุ้นละ 4.70 บ. ทำให้นักลงทุนเข้ามาไล่ราคา โดยภายหลังประกาศเพิ่มทุนดังกล่าวส่งผลให้กลุ่มนักลงทุนใหม่เข้ามาถือหุ้นในสัดส่วน 25.93% จึงมีหน้าที่ต้องทำเทนเดอร์ฯหุ้นที่ราคา 7.75 บ. ยิ่งทำให้ราคาขยับขึ้นต่อเนื่อง
ส่วนแผนงานธุรกิจที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ QTC ลงนาม MOU รัฐวิสาหกิจลาว หวังคว้ายอดสั่งซื้อหม้อแปลงไฟฟ้า 10 ล้านเหรียญฯ อีกทั้งประกาศแผนธุรกิจหลังขายเทนเดอร์ฯ ให้นักลงทุนรายใหญ่ไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยจะมุ่งหน้าขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงาน ตั้งเป้าหมายมีกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนไม่ต่ำกว่า 150 เมกะวัตต์ภายในปี 63 ซึ่งจะมีการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ล่าสุด QTC ได้อนุมัติให้บริษัทลงนามในสัญญา MOA (Memorandum of Agreement) ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่เมืองมินบู (Minbu) ประเทศเมียนมา พร้อมอนุมัติให้วางเงินมัดจำจำนวน 2.25 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ (หรือ 80 ล้านบาท) เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการตามข้อตกลงของสัญญา MOA จากปัจจัยดังกล่าวทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงนั่นเอง
อันดับ 4 บริษัท ธนพิริยะ จำกัด (มหาชน) หรือ TNP ราคาช่วง 11 เดือนแรก ปรับตัวเพิ่มขึ้น 140.60% จากราคา ณ วันที่ 30 ธ.ค. 58 อยู่ที่ระดับ 1.33 บาท บวก 1.87 บาท มาอยู่ที่ 3.20 บาท ณ วันที่ 30 พ.ย. 59 ราคาหุ้นที่ปรับตัวแรงมีปัจจัยหลายด้านทั้งแผนการดำเนินงานที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทมั่นใจเป้าหมายรายได้จากการขายและให้บริการปี 59 จะเติบโตร้อยละ 10-15 จากปี 58 ที่อยู่ระดับ 1,316.20 ล้านบาท นอกจากนี้ในไตรมาส 4/2559 ศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่ของบริษัทฯ คาดว่าจะแล้วเสร็จตามแผนงานที่วางไว้ และมั่นใจจะเป็นอีกปัจจัยสำคัญในการเติบโตของธนพิริยะให้โดดเด่นยิ่งขึ้น
ส่วนผลการดำเนินงานช่วง 9 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 38.87 ล้านบาท หรือ 0.05 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 73% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 22.44 ล้านบาท หรือ 0.04 บาทต่อหุ้น เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากการขายและบริการเพิ่มขึ้นจากการเปิดสาขาอย่างต่อเนื่องตามแผนที่บริษัทได้วางไว้ และการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม จากปัจจัยดังกล่าวทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงนั่นเอง
อย่างไรก็ตามTNP ขณะนี้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ประกาศหลักทรัพย์ที่เข้าข่ายมาตรการกำกับการซื้อขาย ระดับ 1 : Cash Balance โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 6 ธ.ค.2559สิ้นสุดวันที่ 13 ม.ค.2560
อันดับ 5 บริษัท เอบิโก้ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ABICO ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 107.89% จากราคา ณ วันที่ 30 ธ.ค. 58 อยู่ที่ระดับ 7.60 บาท บวก 8.20 บาท มาอยู่ที่ 15.80 บาท ณ วันที่ 31 พ.ย.59 สำหรับหุ้นรายนี้คาดเป็นการเก็งกำไรทางเทคนิคขาขึ้น ขณะเดียวกันโบรกฯเกอร์แนะนำให้เข้าลงทุน ประกอบกับหุ้นรายนี้มีพื้นฐานที่แข็งแกร่งเนื่องจากบริษัทมีกำไรต่อเนื่อง
โดยเห็นได้จากช่วง 9 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 115.20 ล้านบาท หรือ 0.49 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 51.93% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 75.82 ล้านบาท หรือ 0.32 บาทต่อหุ้น เนื่องจากต้นทุนขายธุรกิจรับจ้างผลิตนม เครื่องดื่ม และน้ำผลไม้ลดลง ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำซื้อเก็งกำไร ABICO ให้ราคาเป้าหมาย 17.40 บาท/หุ้น โดย ABICO อยู่ในตลาด mai และเป็นบริษัทแม่ของบริษัท มาลีกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MALEE ที่ถือหุ้นอยู่ในสัดส่วน 26.78% ทั้งนี้หลังจาก update งบการเงินไตรมาส 3/59 ปรากฏว่าเงินลงทุนใน MALEE ตามวิธีส่วนได้เสียเป็นเพียง 438.8 ล้านบาท หรือคิดเป็นต่อหุ้นเพียง 11.70 บาท แต่ราคาหุ้น MALEE ในปัจจุบันสูงไปถึง 106 บาท และราคาพื้นฐานตามบทวิเคราะห์นั้นสูงไปถึง 103-132 บาท จึงเห็นว่า ABICO มีเงินลงทุนที่มีค่าอย่าง MALEE ในต้นทุนต่ำมาก
ทั้งนี้ หากพิจารณาในแง่ Market Cap. ของ ABICO เป็น 3.15 พันล้านบาท แต่มูลค่าตลาดของเงินลงทุนใน MALEE สูงกว่าเป็น 4 พันล้านบาท แสดงว่าซื้อ ABICO วันนี้ จะได้หุ้น MALEE ที่ราคาถูกกว่า หรือคิดในอีกแง่หนึ่งคือ หากประเมินกำไรหลังภาษี ถ้าหาก ABICO ขาย MALEE ออกไป พบว่าสูงเป็น 2.8 พันล้านบาท หรือ 12.04 บาท ต่อ 1 หุ้น ABICO
ทั้งนี้การที่ราคาหุ้นในกลุ่มดังกล่าวปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง เนื่องจากมีประเด็นบวกจากความคาดหวังต่อแนวโน้มธุรกิจและผลประกอบการที่ดี อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรศึกษาพื้นฐานและความเสี่ยงของหุ้นก่อนลงทุน พร้อมระมัดระวังในการเข้าเก็งกำไรในกลุ่มดังกล่าว เนื่องจากราคาปรับขึ้นมามากตั้งแต่ช่วงต้นปี ส่งผลให้อัพไซด์จากราคาเป้าหมายเริ่มจำกัด อีกทั้งหุ้นบางตัวก็มักเข้าไปติดเกณฑ์ Cash Balance อยู่บ่อยครั้งในช่วงที่ผ่านมา
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน