ท็อป 5 หุ้นดิจิตอลเทรดคึก! รับม.44 ยืดเวลาจ่ายค่าไลเซ่นส์

ท็อป 5 หุ้นดิจิตอลเทรดคึก! รับม.44 ยืดเวลาจ่ายค่าไลเซ่นส์


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ได้ทำการสำรวจบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (บจ.) ที่คาดว่าจะได้รับผลประโยชน์หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกคำสั่งตามมาตรา 44 เกี่ยวกับมาตรการส่งเสริมการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะวานนี้ (20 ธ.ค.)

โดยในส่วนกิจการโทรทัศน์นั้นจะมีการขยายเวลาการชำระค่าใบอนุญาต เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการโทรทัศน์ที่ประมูลใบอนุญาตกันไปในราคาสูงมาก แต่กลับประสบกับปัญหาภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ผู้ประกอบการได้รับความเดือดร้อนการดำเนินธุรกิจไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้

ทั้งนี้คำสั่งตามมาตรา 44 จะขยายระยะเวลาการชำระใบอนุญาตที่ค้างอยู่ 1 งวด ซึ่งต้องชำระภายใน 1 ปี ด้วยการแบ่งออกเป็น 2 งวด ชำระภายใน 2 ปี โดยเสียดอกเบี้ย 1.5% ต่อปี ขณะที่เงินส่วนต่างที่เกิดจากการประมูลจากเดิมจ่ายไปแล้ว 3 งวด คงเหลืออีก 3 งวดนั้นให้มีการขยายระยะเวลาการจ่ายได้ 6 งวดภายใน 6 ปี จากเดิม 3 งวดภายใน 3 ปี คิดอัตราดอกเบี้ย 1.5% ต่อปี นอกจากนั้นหากผู้ประกอบการที่ต้องการจ่ายเพียงดอกเบี้ยไปก่อนก็สามารถทำได้

สำหรับกิจการวิทยุจากเดิมตามแผนแม่บทปี 55 คลื่นความถี่วิทยุของหน่วยงานรัฐต้องส่งคืนคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ภายในเดือน เม.ย. 60 แต่เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันที่เปลี่ยนไป จึงขยายระยะเวลาการใช้แผนแม่บทออกไปอีก 5 ปี

รวมทั้งให้กองทุนวิจัยพัฒนา กสทช. เพื่อประโยชน์สาธารณะสนับสนุนค่าใช้จ่ายการส่งสัญญาณผ่านดาวเทียม เป็นระยะเวลา 3 ปี ปีละ 875 ล้านบาท เพื่อให้ประชาชนจะสามารถรับชมข่าวสารผ่านโทรทัศน์ภาคพื้นดินได้ทุกช่องทาง ทั้งหนวดกุ้ง และทีวีเคเบิ้ล

 

ซึ่งประเด็นดังกล่าวข้างต้นจะส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่มทีวีดิจิตอล และอาจจะเป็นปัจจัยบวกที่ส่งผลดีต่อราคาหุ้นในกลุ่มดังกล่าว เนื่องจากภาระค่างวดไลเซ่นส์ทีวีดิจิตอลที่ต้องแบกรับอยู่นั้น สร้างความกดดันให้กับการดำเนินธุรกิจในช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างมาก ทำให้ผู้ประกอบการบางรายต้องประสบผลขาดทุนมาโดยตลอด

สำหรับบจ.ที่คาดว่าจะได้รับผลประโยชน์ประกอบด้วย BEC, WORK , MONO , GRAMMY และRS

 

อันดับที่ 1 บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BEC ด้าน บล.ทิสโก้ แนะนำ “ถือ” BEC ราคาเป้าหมาย 23.50 บาท/หุ้น หลังมองว่าราคาหุ้นมีโอกาสการฟื้นตัวต่อไป โดยผู้บริหารคาดหวังการฟื้นตัวของรายได้ค่าโฆษณานับตั้งแต่วันจันทร์ที่ 14 พ.ย. เป็นต้นไป หลังจากผ่านพ้นช่วงเวลาถวายความอาลัย 30 วัน โดย กสทช.อนุญาตให้ผู้ประกอบการช่องต่างๆ กลับมาออกรายการได้ตามผังเวลาตามปกติ

อย่างไรก็ตามยังคงมีหลายรายการที่เกี่ยวข้องกับพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ  ด้วย BEC มีรายการบันเทิงที่ได้รับความนิยมสูงไม่มากนัก เมื่อเทียบกับผู้ประกอบการช่องอื่น ดังนั้นเราจึงเชื่อว่ารายได้ไม่น่าจะกระทบมาก โดยในช่วง 14-20 พ.ย. BEC จะให้ส่วนลดค่าโฆษณาเพื่อกระตุ้นยอดขาย ด้วยรายได้ที่ลดลงมาก บริษัทจึงพยายามลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเงินเดือนพนักงานและค่าใช้จ่ายด้านอื่นๆ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 30% ของต้นทุนค่าใช้จ่ายรวม เพื่อที่จะพยายามรักษาอัตราส่วนกำไร

ด้านผลประกอบการไตรมาส 4/59 ทางบริษัทคาดว่าจะได้รับผลกระทบมาก เปรียบเทียบทั้งจากปีก่อนและจากไตรมาสก่อนเนื่องจากเป็นช่วงเวลาถวายความอาลัย 30 วัน และความตั้งใจของผู้บริหารที่ยังคงหลายรายการที่เกี่ยวข้องกับพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ ไว้ นอกจากนี้ BEC ยังไม่จัดงานลอยกระทงในปีนี้อีกด้วย

 

อันดับที่ 2 บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ WORK ด้าน บล.ไอร่า แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 52.50 บาท/หุ้น โดย WORK ดำเนินธุรกิจหลักในการผลิตรายการโทรทัศน์เพื่อออกอากาศทางช่อง “Workpoint” ของบริษัทเอง มีผลการดำเนินงานเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ในระยะสั้นอาจได้รับผลกระทบจากการงดออกอากาศเพื่อถวายความอาลัย แต่ประเมินว่าบริษัทมีความสามารถในการเติบโตในระยะยาว โดยคาดการณ์การกำไรเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ในระดับกว่า 45% ต่อปีในอีก 3 ปีข้างหน้า จากความสามารถในการเพิ่มเรตติ้งของช่องอย่างต่อเนื่อง ทำให้รายได้จากการขายโฆษณาเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน โดยเริ่มต้นคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมปี’60 52.50 บาท

 

อันดับที่ 3 บริษัท โมโน เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ MONO ด้าน บล.บัวหลวง แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” MONO ราคาเป้าหมาย 3.50 บาท/หุ้น โดยมองว่าต้นทุนด้านคอนเทนต์ที่เริ่มนิ่ง รายได้ทีวีดิจีตัลที่เพิ่มขึ้นและค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่ลดลงทำให้ผลประกอบการของบริษัทดีขึ้นจากปีก่อนต้นทุนขายและบริการปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 17% จากปีก่อน และ 8% จากไตรมาสก่อน

ขณะที่รายได้โดยรวมเพิ่มขึ้น 34% จากปีก่อนและ 3% จากไตรมาสก่อนรายได้จากธุรกิจบริการเสริมบนมือถือ ทรงตัว จากปีก่อนและจากไตรมาสก่อนเริ่มกลับมาคงที่ หลังจากการลดลงก่อนหน้านี้อันเนื่องมาจากผู้ใช้บริการที่ลดลง รายได้จากธุรกิจสื่อก้าวกระโดด 86% จากปีก่อนและ 5% จากไตรมาสก่อนจากรายได้ช่องดิจิตอลทีวีที่เพิ่มขึ้น รายได้จากธุรกิจบันเทิงอยู่ที่ 32 ล้านบาท ทรงตัวจากปีก่อนและจากไตรมาสก่อน

อย่างไรก็ตามคาดว่ากำไรของบริษัทจะอ่อนตัวลงในไตรมาส 4/59 จากเม็ดเงินโฆษณาที่ชะลอตัวในช่วงเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้น (คาดส่งผลกระทบแค่ระยะหนึ่งเท่านั้น) อย่างไรก็ตามประเมินว่าธุรกิจ MVAS น่าจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าดิจิตอลทีวี มองว่าเม็ดเงินโฆษณาจะค่อยๆฟื้นตัวหลังช่วงไว้อาลัย โดยประเมินเบื้องต้นสำหรับผลประกอบการในไตรมาส 4/59 น่าจะพลิกเป็นขาดทุนจากไตรมาสก่อนที่ 20 ล้านบาท แต่ขาดทุนลดลง 67% จากปีก่อน

 

อันดับที่ 4 บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GRAMMY ด้าน บล.บัวหลวง แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 8.70 บาท/หุ้น โดยดิจิตอลทีวีกำลังจะก้าวเข้าสู่ปีที่ 3 เห็นการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างใน 2 ปีที่ผ่านมา เริ่มแรกสถานีโทรทัศน์จำนวน 2 ช่องถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการทีวีดิจิตอลในเดือนก.พ.เนื่องจากไม่ชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาต

สำหรับการที่ บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัดประกาศเพิ่มทุนจดทะเบียนเพื่อปูทางให้กับผู้ถือหุ้นใหญ่รายใหม่ กลุ่ม วัฒนภักดี โดยกรณีดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าผู้ประกอบการดิจิตอลทีวีบางรายกำลังประสบปัญหาในการดำเนินงาน แต่เรามองว่าไม่ใช่กับ เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรซ์ (ซึ่ง GRAMMY ถือหุ้น 51%) ถึงแม้ว่า เดอะ วัน จะเพิ่มทุนสำหรับผู้ถือหุ้นรายใหม่ นั่นจะทำให้ฐานทุนแข็งแกร่งขึ้น แต่ในแง่ผลประกอบการเราจะเห็น การขาดทุนหลักของช่อง ONE ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยะสำคัญอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาจากคอนเท็นต์ที่แข็งแกร่ง

โดยการเพิ่มทุนครั้งนี้น่าจะส่งผลเชิงบวกระยะสั้นต่อกำไรของ GRAMMY เนื่องจากส่วนแบ่งขาดทุนที่จะลดลงจาก ONE ในช่วงปี 2560-2562แต่ในแง่ของมูลค่าหุ้นส่วนแบ่งกำไรระยะยาวจะลดลงและทำให้ราคาเป้าหมายลดลงมาอยู่ที่ 8.70 บาท ทั้งนี้ยังไม่ได้รวมผลประโยชน์ที่อาจจะเกิดขึ้นจากผู้ถือหุ้นใหม่เข้าไปในประมาณการ ซึ่งยากที่จะประเมินได้ในปัจจุบัน

 

อันดับที่ 5 บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS ด้าน บล.คันทรี่ กรุ๊ป แนะนำ “ถือ” RS ราคาเป้าหมาย 8.50 บาท/หุ้น โดยมีมุมมองเชิงลบต่อผลประกอบการการไตรมาส 4/59 อย่างมาก โดยเฉพาะธุรกิจสื่อโทรทัศน์ และวิทยุที่มีการหยุดออกอากาศรายการปกติไปราว 1 เดือน ในเบื้องต้นคาดไตรมาส 4/59 จะขาดทุนสูงขึ้นเป็น 117 ลบ. และทั้งปี 59 ขาดทุนสุทธิรวม 156 ลบ.

ขณะที่ปี 60 คาดธุรกิจ Health&Beauty จะขยายตัวดีขึ้น จากการรุกเข้าสู่ช่องทาง Modern Trade ใหม่ และการเพิ่ม SKU ใหม่ ทั้งนี้แนะนำเพียง “ถือ” โดยปรับลดมูลค่าเหมาะสมของ RS เหลือ 8.50 บาท (เดิม 12 บาท) เพื่อสะท้อนความล่าช้าในการเพิ่มยอดขายธุรกิจ H&B และการแข่งขันในธุรกิจ Media ที่รุนแรงมากขึ้น ทำให้ประมาณการกำไรปี 60 ถูกปรับลดลงจากเดิม 34% เหลือ 170 ลบ. (EPS 0.17 บาท)

 

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้นเป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำหรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตามล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button