จัดอันดับ 10 หุ้นท็อปฟอร์มโชว์ปันผลแจ่ม!-อัพไซด์พุ่ง

จัดอันดับ 10 หุ้นท็อปฟอร์ม โชว์ปันผลแจ่ม!-อัพไซด์พุ่ง PSH ,ASP ,INTUCH ,LPN ,MBKET นำทีม


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ ได้ทำการสำรวจบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (บจ.) ที่มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลในปี 2559 สูงที่สุด โดยวันนี้จะนำเสนอบทวิเคราะห์ของ บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ ซึ่งคัดเลือกบริษัทที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลเกิน 6% อีกทั้งราคาหุ้นยังมีอัพไซต์จากราคาเป้าหมายสูง โดยคัดเลือกมาทั้งหมด 10 อันดับ ดังนี้ PSH ,ASP ,INTUCH ,LPN ,MBKET ,ADVANC ,GLOW ,THRE ,KKP ,LH

 

 

สำหรับ 5 อันดับแรกมีดังนี้

อันดับที่ 1 บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSH ด้าน บล.บัวหลวง แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 25.50 บาท/หุ้น โดยแนะนำให้นักลงทุนรอคอยจังหวะเข้าซื้อ เนื่องจากยังมีความเสี่ยงที่บริษัทจะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายทั้งจากยอดจองซื้อและรายได้ของปี 2559 ซึ่งคาดว่าจะสะท้อนข่าวร้ายทั้งหมดในราคาหุ้นช่วง ม.ค. 2560

อย่างไรก็ตามมองว่าหุ้นมีโอกาสปรับตัวลดลงน้อยมาก เนื่องจากหุ้นมีมูลค่า PER ปี 2560 เพียง 7.0 เท่า (8.9 เท่าของค่าเฉลี่ยปี 2549-2558) ด้วยอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 4.3% ของเงินปันผลขั้นต้นสำหรับช่วงครึ่งปีหลังของปี 2559 และ 7.0% สำหรับปี 2560 ทั้งนี้เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” โดยราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2560 ที่ 25.50 บาท จากเป้าหมาย PER  ที่ 8 เท่า (0.5 เท่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยปี 2549-2558)

 

อันดับที่ 2 บริษัท เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASP โดยนายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร ASP คาดว่า รายได้ในปี 60 จะเติบโตต่อเนื่องจากปีนี้ที่คาดรายได้จะมากกว่าปี 58 ที่มีรายได้ 2.1 พันล้านบาท โดยธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (Brokerage) ฟื้นตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี ซึ่งตลาดหุ้นไทยยังได้รับความสนใจในการเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพราะมีหุ้นที่เสนอขายให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯในปีนี้มากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยมีความหลากหลายของธุรกิจ

ทั้งนี้มองแนวโน้มตลาดหุ้นไทยปี 60 จะดีอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนไทยที่มีแนวโน้มฟื้นตัวไปในทางที่ดี โดยเฉพาะในกลุ่มปิโตรเคมี น้ำมัน และสื่อสารที่มองว่าผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ค้าปลีกเองก็เชื่อว่าจะดีขึ้นในปี 60 เนื่องจากช่วงปลายปีนี้คงจะไม่ดีนัก

 

อันดับที่ 3 บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH ด้าน บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) แนะนำ “ซื้อ” INTUCH ราคาเป้าหมาย 59 บาท/หุ้น เนื่องจากเป็นตัวแทนของการลงทุนในหุ้นกลุ่ม ICT เนื่องจาก INTUCH เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ ADVANC และ THCOM ดังนั้นการซื้อหุ้น INTUCH เหมือนเป็นการซื้อหุ้น 3 ตัว ซึ่งมีมูลค่าตลาดรวมกันถึง 50% ของทั้งกลุ่ม ขณะที่ราคาหุ้นยังมี upsideจากราคาตลาดปัจจุบัน อีกทั้งอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่น่าสนใจที่ 5.6% ในปี 2560 และ 5.8%ในปี 2561 นอกจากนี้ราคาตลาดยังมี discount จาก NAV อยู่ถึง 13.5%

 

อันดับที่ 4 บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN ด้าน บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส แนะนำ “Fully Valued” ราคาเป้าหมาย 9 บาท/หุ้น โดยเห็นว่ายังเร็วเกินไปที่จะรีบไปซื้อหุ้น LPN เพื่อการลงทุน เพราะคาดว่ากำไรหลักในปี 60 จะปรับลดลงถึง 37% จากปีก่อน

ทั้งนี้เป็นเพราะคาดว่ารายได้จากการโอนจะปรับลง 19% จากปีก่อน เป็น 11.3 พันล้านบาท ทั้งนี้ยอดขายรอโอน (Backlog) เป็นสัดส่วนการรับประกันรายได้ที่เพียง 12% เทียบกับประมาณการ จึงถือว่ามีช่วงขาลง (downside) ที่รายได้จริงอาจน้อยกว่าประมาณการได้ อีกทั้งยอดขาย (presales) ก็ค่อนข้างอ่อน เพราะงวดไตรมาส 4/59 มีการเลื่อนการเปิดขายโครงการใหม่ออกไป สำหรับยอดขายช่วง 9 เดือนแรกทำได้เพียง 8.1 พันล้านบาท ลดลงถึง 40% จากปีก่อน

อย่างไรก็ตามได้มีการปรับประมาณการปี 60 ดีขึ้น 4% สะท้อนการได้รับที่ดินแปลงใหม่มา 2 แปลง ทำเลหนึ่งใกล้เซ็นทรัล บางนา และอีกแปลงนั้นใกล้ซอย ราษฎร์บูรณะ เราคาดว่าบริษัทจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจาก 2 โครงการนี้

ทั้งนี้ปรับเพิ่มคำแนะนำดีขึ้นเป็น Fully Valued จากเดิมที่เป็นขาย สืบเนื่องจากปรับราคาพื้นฐานใหม่ดีขึ้นเป็น 9.00 บาท หลังปรับเพิ่มประมาณการปี 60 และเพิ่ม P/E ปี 60 ที่ใช้ประเมินเป็น 9 เท่า จากเดิมที่ 8 เท่า เพื่อสะท้อนกำไรปี 61 ที่จะฟื้นตัวได้ดี ราคาปิดยังมีส่วนลดได้อีกถึง 17% จึงยังแนะนำในเชิงลบต่อไป

 

อันดับที่ 5 บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MBKET โดยนายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) (MBKET) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ากำไรสุทธิปี 60 จะเติบโตได้ราว 15-20% จากปีนี้ โดยปัจจุบันบริษัทมีงานด้านวาณิชธนกิจ (IB) ที่น่าจะดำเนินการได้ในปีหน้า แบ่งเป็น งานที่ปรึกษาการซื้อกิจการและควบรวมกิจการ (M&A) จำนวน 3-4 ดีล , ที่ปรึกษาการจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITS) จำนวน 2-3 กอง , งานที่ปรึกษาการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างฟื้นฐาน (Infrastructure Fund) จำนวน 3-4 กอง และงานที่ปรึกษาการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ขนาดระดมทุนรวมประมาณ 10,000 ล้านบาท และ 1,000 ล้านบาท รวม 5-6 บริษัท

ขณะที่บริษัทยอมรับว่ารายได้และกำไรสุทธิในปีนี้น่าจะต่ำกว่าปีก่อน โดย 9 เดือนแรกของปีนี้มีรายได้อยุ่ที่ 2,722.49 ล้านบาท กำไรสุทธิ 726.52 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้ 4,175.63 ล้านบาท และกำไร 1,019.23 ล้านบาท เป็นผลมาจากเศรษฐกิจชะลอตัว โดยรายได้ค่าธรรมเนียมปรับตัวลดลง และงาน IB ก็น่าจะทำรายได้เพียง 50 ล้านบาท จากปีก่อนหน้าทำได้ราว 100 ล้านบาท

 

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้นเป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำหรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตามล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button