ชูหุ้นตัวท็อปกลุ่มโรงพยาบาลการันตีผลงานแจ่ม ดันราคาพุ่ง
ชูหุ้นตัวท็อปกลุ่มโรงพยาบาล การันตีผลงานแจ่ม ดันราคาพุ่ง
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจบทวิเคราะห์ของบริษัทจดทะเบียนที่ดำเนินธุรกิจในกลุ่มโรงพยาบาล ที่คาดว่าจะประกาศผลการดำเนินงานออกมาอย่างโดดเด่น หลังจากมองว่า EBITDA จะเติบโตเร่งตัวขึ้นในปีนี้ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะหนุนให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นต่อได้ โดยหุ้นตัวที่คาดว่าจะโดดเด่นที่สุดในกลุ่มที่ทำการคัดเลือกมาคือบริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH และบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS
โดยราคาหุ้น BH ยังมีอัพไซด์ 20.22% จากราคาเป้าหมายสูงสุดที่ 220 บาท ด้าน P/E อยู่ที่ 37.62 เท่า ซึ่งยังต่ำกว่ากลุ่มการแพทย์ซึ่งอยุ่ที่ 40.42 เท่า (ข้อมูล ณ วันที่ 16 ม.ค.60)
ด้าน ราคาหุ้น BDMS ยังมีอัพไซด์ 5.33% จากราคาเป้าหมายสูงสุดที่ 23.70 บาท ด้าน P/E อยู่ที่ 41.20 เท่า ซึ่งถือว่าสูงกว่ากลุ่มการแพทย์ซึ่งอยุ่ที่ 40.42 เท่า (ข้อมูล ณ วันที่ 16 ม.ค.60)
ด้าน บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์โดยยืนยันว่าหุ้นที่ชอบคือ BH (แนะนำ “ซื้อ” มูลค่าเหมาะสมที่ 200 บาท อิงจาก EV/EBITDA 22 เท่าปี 60) มากกว่า BDMS (แนะนำ “ถือ” มูลค่าเหมาะสมที่ 23.7 บาท อิงจาก EV/EBITDA 24 เท่า ปี 60) ถึงแม้ BH ยังคงเผชิญแรงกดดันจากจำนวนผู้ป่วย Middle-east ที่ชะลอตัว แต่บริษัทยังคงขยายเครือข่ายโรงพยาบาล และเพิ่มความสามารถในการทำกำไร ถึงแม้ราคาหุ้น BH จะปรับตัวขึ้นมาแล้ว แต่ยังคงมองมีโอกาสสร้างความประหลาดใจในแง่บวกอยู่ เนื่องจากความคาดหวังของนักลงทุนในหุ้นตัวนี้อยู่ในระดับต่ำ และการประเมินมูลค่ายังไม่แพงเกินไปเมื่อเทียบกับอดีต
ขณะที่คาดกำไรไตรมาส 4/59 ขยายตัวเพียง 5%จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนจาก 16%ในไตรมาส 3/59 ซึ่งเป็นผลจาก BH ได้ประโยชน์จากจำนวนลูกค้าที่ลดลงกว่าค่าเฉลี่ย เนื่องจากเป็นช่วงวันหยุดในช่วงไตรมาสนี้ แต่จำนวนผู้ป่วย Middle-east ที่ชะลอตัว
สำหรับ BDMS คาดกำไรไตรมาส 4/59 จะลดลง 4% จากปีก่อนนับเป็นผลงานที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 2/58 จากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และจำนวนคนป่วยลดลง อย่างไรก็ตามคาดปีนี้จะเป็นปีที่ดีขึ้นมากสำหรับ BH และ BDMS โดยคาดว่ากำไรสุทธิต่อหุ้นจะขยายตัว 18-17% ตามลำดับ โดย BH มาจากรายได้ที่คาดว่าจะเติบโต 8% จากปีก่อนจากการปรับขึ้นราคาค่าบริการ และการปรับส่วนผสมในการรักษา และ EBITDA margin ที่คาดว่าจะสูงขึ้น 150bps ส่วน BDMS คาดรายได้เติบโต 10% EBITDA margin ที่เพิ่มขึ้น 10bps เป็น 21.7% และดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง
ทั้งนี้ยังคงแนะนำ “ซื้อ” BH และ “ถือ” BDMS โดยเชื่อว่าราคาหุ้น BH ที่ซื้อขาย EV/EBITDA ที่ 20 เท่า ยังเป็นระดับที่น่าสนใจ (สอดคล้องกับหุ้นโรงพยาบาลในภูมิภาคนี้ และเป็นกรอบของการซื้อขายในอดีต) ขณะที่มอง EBITDA จะเติบโตเร่งตัวขึ้นในปีนี้ จะหนุนให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นต่อได้
สำหรับ BDMS ปรับลดมูลค่าเหมาะสมลง 4% มาที่ 23.7 บาท และยังแนะนำให้ “ถือ” มองผลประกอบการในช่วง 3-4 เดือนข้างหน้ายังไม่มีความน่าตื่นเต้น ขณะที่ราคาหุ้นซื้อขายที่ EV/EBITDA ที่ 23เท่าซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตเล็กน้อย และมี EBITDA ขยายตัว 10% ในปีนี้ ถึงแม้ BDMS จะไม่แพง แต่ยังมองไม่เห็นปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้นในระยะสั้น
ขณะเดียวกัน บล.เออีซี แนะนำ “BUY” BH ราคาเป้าหมาย 220 บาท/หุ้น โดยคาดว่าช่วงไตรมาส 4/59 จะมีกำไรสุทธิ 843 ล้านบาท อ่อนตัวลง 12.7% จากไตรมาสก่อนตามผลฤดูกาล แต่ยังคงโต 9.6% จากปีก่อนเนื่องจากอากาศที่แปรปรวนและมีฝนตกยาวนานกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนทำให้มีผู้ป่วยเข้ามารับการรักษาเพิ่มขึ้น อีกทั้งค่ารักษาเฉลี่ยต่อหัวยังสูงขึ้นจากรักษาโรครุนแรงที่เพิ่มขึ้นและการปรับขึ้นค่าบริการแต่ละปี จึงทำให้คาดรายได้ค่ารักษารวมยังโตราว 3-4% จากปีก่อน
นอกจากนี้การควบคุมต้นทุนที่ดีขึ้นและไม่มีค่าใช้จ่ายบริหารที่สูงผิดปกติดังเช่นช่วงไตรมาส 4/58 ที่บันทึกจ่ายโบนัสพิเศษให้แก่พนักงานราว 52 ล้านบาท ยังทำให้คาดอัตรากำไรขั้นต้นจะสูงขึ้นจาก 39.1% ในช่วง 4Q58 เป็น 40.8% และมี SG&A/Sales ลดลงจาก 18.9% ในช่วงไตรมาส 4/58 เป็น 18% ส่งผลให้ช่วงไตรมาส 4/59 คาด BH จะมี Net Margin สูงขึ้นจาก 16.9% ในช่วงไตรมาส 4/58 เป็น 18.0%
อย่างไรก็ตามคาดปี 2560 กำไรสุทธิจะกลับมาโตสดใสราว 9.8% จากปีก่อน ด้วย แรงหนุนทั้งจาก 1) การใช้บริการของผู้ป่วยต่างชาติชาวตะวันออกกลางที่คาดมีแนวโน้มที่ดีขึ้นตามราคาน้ำมันที่ฟื้นตัวตั้งแต่ปลายปีก่อนจากการที่กลุ่มโอเปกบรรลุข้อตกลงปรับลดกำลังผลิตน้ำมันได้ 2) มาตรการกระตุ้นท่องเที่ยว เช่น ลดค่าธรรมเนียมวีซ่า 19 ประเทศ เอื้อประโยชน์ต่อต้นทุนการเดินทางมารักษาของชาวต่างชาติในไทย และ 3) การมีแผนขยายตลาดผู้ป่วยกลุ่มใหม่ๆ เช่น จับมือกับพาร์ตเนอร์ใน 20 ประเทศทั่วโลก และ รพ. นอกเครือข่ายในไทย เพื่อส่งต่อผู้ป่วยโรคซับซ้อนรุนแรง เข้ามารักษาที่ BH
ทั้งนี้ยังคงแนะนำ ซื้อ หลัง BH ยังมีผลดำเนินงานที่เติบโตได้ระยะยาว และราคาหุ้นยังมี Upside จากพื้นฐานปี 2560 (วิธี DCF) ที่ 220 บาท และคาดจ่ายเงินปันผลจากกำไรช่วงครึ่งปีหลังปี 59 อีกหุ้นละ 1.54 บาท คิดเป็น Div. Yield ช่วง ครึ่งปีหลังราว 0.8%
*อนึ่งข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน