กู่ไม่กลับ! 5 หุ้น mai ราคาดิ่งก้นเหว EFORL ซิวแชมป์หุ้นดิ่งแรงปี 2559
กู่ไม่กลับ! 5 หุ้น mai ราคาดิ่งก้นเหว EFORL ซิวแชมป์หุ้นดิ่งแรงปี 2559
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจราคาหุ้นบริษัทจดทะเบียน (บจ.)ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ที่ปรับตัวลงแรงในรอบ 11เดือน โดยเทียบราคาหุ้น ณ วันที่ 30 ธ.ค.58-30 พ.ย.59 โดยครั้งนี้จะขอนำเสนอหุ้นที่ราคาปรับตัวลงแรงเกิน 40% นำโดย EFORL,TAKUNI,UPA, DIMET และ LDC
หลักทรัพย์ | 30-ธ.ค.-58 | 30-ธ.ค.-59 | เปลี่ยนแปลง | |
บาท | % | |||
EFORL | 0.77 | 0.27 | -0.50 | -64.94 |
TAKUNI | 3.90 | 1.38 | -2.52 | -64.62 |
DIMET | 5.70 | 2.60 | -3.10 | -54.39 |
UPA | 1.18 | 0.58 | -0.60 | -50.85 |
LDC | 2.66 | 1.54 | -1.12 | -42.11 |
อันดับ 1 บริษัท อี ฟอร์ แอล เอม จำกัด (มหาชน) หรือ EFORL ราคาหุ้นปี 2559 มาอยู่ที่ระดับ 0.27 บาท (30 ธ.ค.59) ลบ 0.50 บาท หรือลดลง 64.94% จากระดับ 0.77 บาท (30 ธ.ค. 58) โดยราคาหุ้นปรับตัวลงหนัก เนื่องจากหุ้นไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน ประกอบกับตัวธุรกิจที่ออกมาไม่สดใสเห็นได้งบ Q1/59 มีผลขาดทุนสุทธิ 32.26 ล้านบาท จากปีก่อนมีกำไร 103.11 ลบ. และงบไตรมาส 2/59 ขาดทุน 49.48 ล้านบาท จากปีก่อนมีกำไร 20.20 ล้านบาท
ส่วนผลการดำเนินงาน 9 เดือนปี 59 ขาดทุน 127.98 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 155.43 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากการขายและบริการลดลง และค่าใช้จ่ายในการขายเพิ่มขึ้น แน่นอนผลการดำเนินงานที่ถดถอยทำให้นักลงทุนไม่มั่นใจกับตัวธุรกิจจึงขายหุ้นออกมา
ขณะเดียวกันแม้บริษัทจะมั่นใจว่ายอดขายในช่วงไตรมาส 4/59 จะฟื้นตัวอยู่ที่ราว 900 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาส 3/59 ที่มีรายได้รวม 856 ล้านบาท เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่มีมากขึ้นในช่วงท้ายปี
โดยเฉพาะในส่วนของยอดขายเครื่องสำอางคอสเมติก ที่บริษัทเร่งทำโปรโมชั่นออกสู่ตลาด เพื่อกระตุ้นยอดขาย ขณะที่ธุรกิจเครื่องมือแพทย์ก็มีสัญญาณการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ได้รับอานิสงส์จากมาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ แต่ดูเหมือนว่าราคาหุ้นยังทรุดหนักตลอดปี 59 ที่ผ่านมา
อันดับ 2 บริษัท ทาคูนิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TAKUNI ราคาหุ้นปี 2559 มาอยู่ที่ระดับ 1.38 บาท (30 ธ.ค.59) ลบ 2.52 บาท หรือลดลง 64.62% จากระดับ 3.90 บาท (30 ธ.ค. 58) โดยราคาหุ้นร่วงแรงเนื่องจากมีประเด็นการเพิ่มทุนจดทะเบียนบริษัทจำนวน 400 ล้านบาท จากเดิม 200 ล้านบาท เป็น 600 ล้านบาท ในช่วงปลายปี 58 ทำให้นักลงทุนทยอยขายหุ้นออกมาไม่หยุด ประกอบกับตัวธุรกิจหลักก๊าซปิโตรเลียมเหลว (Liquid Petroleum Gas: LPG) และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับก๊าซปิโตรเลียมเหลวปี 59 สร้างผลกำไรไม่ดีนัก ทำให้ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/59 มีกำไรสุทธิ 0.93 ล้านบาท ลดลง 97% จากปีก่อนมีกำไร 28.41 ล้านบาท ยิ่งทำให้นักลงทุนขายหุ้นต่อเนื่อง
ส่วนไตรมาส 2/59 แม้จะมีกำไรสุทธิ 18.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 155% จากปีก่อนมีกำไร 7.34 ล้านบาท แต่ดูเหมือนว่าราคาหุ้นจะไม่ตอบรับปัจจัยดังกล่าวมากนัก เพราะผลการดำเนินงานไตรมาส 3/59 มีผลขาดทุนสุทธิ 0.40 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 24.12 ล้านบาท นักลงทุนยิ่งไม่มั่นใจตัวธุรกิจ อีกทั้งช่วงที่่ผ่านมาบริษัทไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุนยิ่งทำให้ราคาหุ้นอ่อนตัวต่อเนื่อง
อันดับ 3 บริษัท ไดเมท (สยาม) จำกัด (มหาชน) หรือ DIMET ราคาหุ้นปี 2559 มาอยู่ที่ระดับ 2.60 บาท (30 ธ.ค.59) ลบ 3.10 บาท หรือลดลง 54.39% จากระดับ 5.70 บาท (30 ธ.ค. 58) ราคาหุ้นอ่อนตัวเนื่องจากหุ้นไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน อีกทั้งพื้นฐานหุ้นไม่แข็งแกร่งเห็นได้จากผลการดำเนินงานขาดทุนต่อเนื่องทำให้นักลงทุนทยอยขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามบริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายงวดปี 59/60 (ก.ค.59-มิ.ย.60) เติบโตเป็น 500 ล้านบาท จาก 327 ล้านบาทในงวดปีก่อน จากการเพิ่มจำนวนตัวแทนจำหน่ายมากขึ้น โดยปีนี้จะเพิ่มตัวแทนจำหน่ายอย่างน้อย 9 สาขา ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้เพิ่มไปแล้ว 5 สาขา และมีความสนใจที่จะขยายไปยังพื้นที่ จ.ภูเก็ต ,สงขลา ,พิษณุโลก และชลบุรี เพิ่มเติมอีก ส่งผลให้บริษัทจะมีตัวแทนจำหน่ายทั้งสิ้น 54 ราย
ขณะเดียวกันก็คาดว่าจะสามารถล้างขาดทุนสะสมที่มีอยู่ 17 ล้านบาทได้ทั้งหมด โดยจะนำกำไรจากการดำเนินงานมาล้างขาดทุนสะสม ซึ่งในงวดปี 58/59 ทำกำไรสุทธิอยู่ที่ 1.35 ล้านบาท ขณะที่งวดปี 59/60 จะทำอัตรากำไรขั้นต้นได้ที่ระดับ 20% และอัตรากำไรสุทธิ 10-15% จากการบริหารจัดการที่ดี และการเพิ่มยอดขาย อย่างไรก็ตามเมื่อล้างขาดทุนได้หมด บริษัทก็จะพิจารณาจ่ายปันผลทันที ตามนโยบายการจ่ายปันผล 40% ของกำไรสุทธิ
อันดับ 4 บริษัท ยูไนเต็ด เพาเวอร์ ออฟ เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ UPA ราคาหุ้นปี 2559 มาอยู่ที่ระดับ 0.58 บาท (30 ธ.ค.59) ลบ 0.60 บาท หรือลดลง 50.85% จากระดับ 1.18 บาท (30 ธ.ค. 58) ราคาหุ้นอ่อนตัวแรงเนื่องจากบริษัทยังประสบปัญหาขาดทุนเรื้อรัง ทำให้ข่าวดีที่เข้ามาสนับสนุน อาทิ เซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ขนาด 200 เมกะวัตต์ (MW) กับกระทรวงพลังงานสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ และเซ็น MOU ร่วมมือ System Integrator ใหญ่ของเวียดนาม ไม่ได้ช่วยหนุนราคาหุ้นให้ฟื้นตัวแต่อย่างใด
อีกทั้งบไตรมาส 1/59 ขาดทุน 33.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61.01% จากปีก่อนขาดทุน 20.51 ล้านบาท และงบไตรมาส 2/59 ขาดทุน 34.12 ล้านบาทจากปีก่อนขาดทุน 36.16 ล้านบาท และไตรมาส 3/59 มีผลขาดทุนสุทธิ 24.64 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 21.80 ล้านบาท ยิ่งทำให้ราคาหุ้นอ่อนตัวไม่หยุดตลอดปี 59
อันดับ 5 บริษัท แอลดีซี เด็นทัล จำกัด (มหาชน) หรือ LDC ราคาหุ้นปี 2559 มาอยู่ที่ระดับ 1.54 บาท (30 ธ.ค.59) ลบ 1.12 บาท หรือลดลง 42.11% จากระดับ 2.66 บาท (30 ธ.ค. 58) ราคาหุ้นปรับตัวลงแรงเนื่องจากไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุนการลงทุน อีกทั้งผลการดำเนินงานไม่สดใส เห็นได้จากผลการดำเนินงาน 9 เดือนปี 59 มีผลขาดทุนสุทธิ 57.26 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้น 215.41% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 18.15 ล้านบาท
อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมามีประเด็นเรื่องขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่บุคคลในวงจำกัด(PP) จำนวน 50 ล้านหุ้น ซึ่งเข้าเทรดในช่วงเดือนสิงหาคม ปี 59 ไม่ติด Silent Period ทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลการเทขายหุ้นจึงขายหุ้นออกมาอย่างหนัก
อย่างไรก็ตามบริษัทฯอยู่ระหว่างศึกษาลงทุนธุรกิจความงามร่วมกับพันธมิตร โดยเป็นลักษณะความงามที่เกี่ยวเนื่องกับการทำฟัน เพราะปัจจุบันผู้บริโภคมาใช้บริการทำฟัน เพราะคาดหวังด้านรูปลักษณ์ที่ดีขึ้นด้วย ทั้งนี้คาดว่าจะได้ข้อสรุปในปีนี้
โดยบริษัทฯคาดผลประกอบการปี 60 จะดีกว่าปี 59 เนื่องจากบริษัทฯหยุดการขยายสาขาเพิ่ม เพื่อที่จะเข้ามาทำการตลาดเพื่อที่จะสร้างการรับรู้ถึงแบรนด์ของบริษัทฯให้มากขึ้น และจะทำให้บริษัทฯจะสามารถรับรู้รายได้เต็มปีในสาขาทั้งหมด 31 แห่ง ตรงนี้ก็น่าจะทำให้หุ้นพลิกฟื้นมาได้อีกครั้ง
ทั้งนี้หากสังเกตหุ้นปรับตัวลงแรง ส่วนใหญ่จะได้รับผลกระทบในเรื่องผลประกอบการ และทิศทางธุรกิจยังไม่สดใสทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นตลอดปี 59 แต่หากมองอีกด้านหนึ่งถือเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะได้สะสมหุ้นกลุ่มนี้ เพราะดูจากแผนธุรกิจที่ยังพร้อมจะพลิกฟื้นธุรกิจให้กลับมาสดใส พร้อมกับราคาหุ้นที่เคยร่วงหนักก็เป็นได้
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้นเป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำหรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตามล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน