ปีทองของ MAJOR รับรายได้อื้อซ่า-หนังฟอร์มยักษ์เข้าทั้งปี

ปีทองของ MAJOR รายได้ปีนี้กระฉูดรับหนังฟอร์มยักษ์จ่อเข้าโรงตลอดทั้งปี ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 20% ฟากโบรกฯ ปรับเป้าเป็น 36 บาท มองกำไรปีนี้โตก้าวกระโดด


ปีทองของ MAJOR รายได้ปีนี้กระฉูดรับหนังฟอร์มยักษ์จ่อเข้าโรงตลอดทั้งปี ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 20% ฟากโบรกฯ ปรับเป้าเป็น 36 บาท มองกำไรปีนี้โตก้าวกระโดด

ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจบทวิเคราะห์ของ บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAJOR โดยมองว่าในปี 60 นี้จะเป็นปีทองของ MAJOR หลังจากมีโปรแกรมภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ทั้งไทยและต่างประเทศจ่อคิวเข้าฉายตลอดทั้งปี ด้านราคาหุ้นมีแนวโน้ม OUTPERFORM ตลาด โบรกฯ อัพเป้าใหม่36 บาท

ด้านราคาหุ้นยังมีอัพไซด์อยู่ 13.39% หลังจากโบรกฯ อัพราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 36 บาท ด้านราคาหุ้นปิดตลาดล่าสุดวันที่ (26 ม.ค.) อยู่ที่ 31.75บาท ปรับตัวขึ้น 0.25 บาท หรือ 0.79% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 93.81 ล้านบาท

ทั้งนี้ นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร MAJOR เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปีนี้จะเติบโตราว 15-20% จากปีก่อนคาดรายได้น่าจะทำได้ราว 10,000 ล้านบาท โดยการเติบโตปีนี้จะเป็นไปตามอุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์ที่คาดว่าจะเติบโตได้ 10-15% จากการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาทั้งระบบภาพและระบบเสียง ซึ่งเป็นจุดที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าส่งผลให้อุตสาหกรรมในปีนี้น่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ขณะที่บริษัทตั้งเป้าหมายก้าวสู่ MAJOR 5.0 Digitalization Society คือ การนำนวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทันสมัยเข้ามาให้บริการลูกค้า

นอกจากนี้บริษัทยังตั้งเป้าจะมีโรงภาพยนตร์ครบ 1,000 โรง ภายในปี 63 ทั้งในประเทศและกลุ่มประเทศ CLMV ขณะที่ปีนี้มีแผนขยายโรงภาพยนตร์เพิ่มเติมอีก 70-80 โรง วางงบลงทุนรวม 1,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโรงภาพยนตร์ในประเทศลาว จำนวน 1 โรง และในประเทศกัมพูชา 1-2 โรง ที่เหลือจะเป็นการขยายในประเทศ ซึ่งจะเน้นในพื้นที่ต่างจังหวัดมากขึ้น และน่าจะเห็นการขยายโรงภาพยนตร์ไปยังระดับอำเภอและตำบล ที่ไปพร้อมกับห้างสรรพสินค้าบิ๊กซีและโลตัส มากขึ้นอีกด้วย

โดยปัจจุบันบริษัทมีโรงภาพยนตร์ทั้งหมดราว 700 โรง โดยมีสัดส่วนโรงภาพยนตร์ในต่างจังหวัดและในกรุงเทพฯ 50:50 คาดว่าปีนี้สัดส่วนโรงภาพยนตร์ต่างจังหวัดจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 52-53%

นอกจากนี้ มองอุตสาหกรรมภาพยนตร์โดยรวมในปีนี้ จะมีภาพยนตร์เข้าฉายจำนวนมาก โดยเฉพาะในกลุ่มของ Hollywood ที่เริ่มเปิดตัวภาพยนตร์กันอย่างต่อเนื่อง เช่น Transformers, Fast and Furious 8 รวมถึงภาพยนตร์จากค่ายดิสนีย์ ส่วนภาพยนต์ไทยก็น่าจะมีภาพยนตร์ใหม่ๆ ออกมาหลายเรื่อง โดยเร็วๆ นี้จะมีของค่าย GDH อย่าง “Mr.Hurt มือวางอันดับเจ็บ” ส่วนกลุ่มเมเจอร์ คาดจะนำภาพยนตร์ของค่ายเมเจอร์เข้าโรงฉายปีนี้ 12 เรื่อง วางงบลงทุนเรื่องละ 30 ล้านบาท

 

 

โดย นักวิเคราะห์ บล.กรุงศรี แนะนำ “OUTPERFORM” MAJOR ราคาเป้าหมาย 36 บาท/หุ้น ว่าถึงแม้จะมีกระแสของการชมภาพยนตร์แบบ digital streaming มากขึ้น แต่รายได้จากการขายตั๋วหนังในประเทศไทยในช่วงห้าปีที่ผ่านมายังโตได้อย่างต่อเนื่องที่อัตรา 5% (ในสหรัฐโต 2%) ซึ่งสูงกว่าอัตราการขยายตัวของ GDP ที่ 3% ปัจจัยขับเคลื่อนหลักของรายได้จากการขายตั๋วหนัง คือโปรแกรมหนังที่เข้าฉายในแต่ละปี ซึ่งเรามองว่าโปรแกรมหนังในปี 60-61 มีความน่าสนใจมากกว่าเมื่อสองปีที่ผ่านมาอย่างมาก และคาดว่ารายได้จากการขายตั๋วหนังของ MAJOR จะโตถึง 9% ในปี 60-61จากโปรแกรมหนังดังและการเพิ่มโรงฉายภาพยนตร์ นอกจากนี้จำนวนผู้ชมภาพยนตร์ที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลดีต่อธุรกิจโฆษณาของ MAJOR ด้วย (15% ของรายได้รวม) คาดว่ารายได้จากการขายตั๋วจะเพิ่มขึ้น 5-9% ต่อปี และรายได้ค่าโฆษณาของ MAJOR จะเพิ่มขึ้น 7-10% ต่อปี ในช่วงสามปีข้างหน้า

ทั้งนี้พบว่าในปีนี้มีภาพยนตร์ฮอลีวู้ดถึง 14 เรื่องที่มีศักยภาพที่จะทำรายได้เกินเรื่องละ 100 ล้านบาท ได้แก่หนัง superhero หกเรื่อง และหนังดังภาคต่อแปดเรื่อง เมื่อเทียบกับปีที่แล้วซึ่งมีหนัง superhero ห้าเรื่อง และปี 2015 ที่มีหนังดังภาคต่อหกเรื่อง นอกจากนี้ ยังมีหนังฟอร์มยักษ์ในปีนี้อีกอย่างเช่น xXx 3: The Return of Xander Cage และ Beauty and the beast ซึ่งคาดว่าจะทำรายได้สูงเช่นกัน เราจึงมองว่าโปรแกรมหนังเหล่านี้จะหนุนให้รายได้จากการขายตั๋วเพิ่มขึ้นจากสองปีก่อน นอกจากนี้ เรายังคาดว่ารายได้จากภาพยนตร์ไทยจะเพิ่มขึ้น หลังจากที่ส่วนแบ่งตลาดในปีที่แล้วลดลงถึงระดับต่ำสุดใน 10 ปีที่ 13% เนื่องจากค่ายหนังเริ่มเข้าใจแนวทางที่ถูกต้องในการดึงผู้ชมภาพยนตร์ด้วยการเน้นหนังประเภท feel-good หนังตลก และหนังผี เราคาดว่า MAJOR จะเพิ่มจำนวนโรงฉายอีกปีละ 60-70 โรงเป็น 806 โรงภายในปี FY18F จาก 678 โรงในปัจจุบัน ซึ่งจะทำให้จำนวนผู้ชมเพิ่มขึ้นปีละ 4-5% ในช่วงปี 59-61 จนทำสถิติสูงสุดในปี 61 ที่ 31 ล้านคน

โดยแนะนำให้ซื้อ โดยให้ราคาเป้าหมายที่คำนวณโดยวิธี DCF ที่ 36 บาท มองว่ากำไรจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งจากโปรแกรมหนังเด็ดที่รอคิวเข้าโรงหลายเรื่อง โดยราคาหุ้น MAJOR ซื้อขายอยู่ที่ระดับ P/E ปี 60ที่ 24 เท่าเท่ากับ P/E เฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง เชื่อว่าโปรแกรมหนังเด็ดจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนกำไรของ MAJOR ซึ่งคาดว่าจะโตถึง 26% ในปี 60และโต 18% ในปี 61ซึ่งจะเป็นสาเหตุให้ตลาด rerate PER ใหม่ นอกจากนี้ ยังมองเห็น upside จากรายได้ภาพยนตร์ไทยที่อาจจะออกมาดีเกินคาด

 

ด้าน บล.บัวหลวง แนะนำ “ซื้อ” MAJOR ราคาเป้าหมาย 35 บาท/หุ้น โดยมองว่าปี 60 จะเป็นปีทองของหน้าหนังฮอลลีวูดเชื่อว่าตลาดหนังในประเทศไทยจะถูกปลุกขึ้นอีกครั้งในปี 2560 จากทั้งโปรแกรมภาพยนตร์ต่างประเทศและภาพยนตร์ไทย โดยเฉพาะภายนตร์ฟอร์มยักษ์จากต่างประเทศ แม้ว่ากำไรหลักในไตรมาส 4/59 น่าจะอ่อนตัวลงจากไตรมาส 4/58 และ 3/59 แต่เชื่อว่าจะกลับมาฟื้นตัวได้ในปี 2560 เริ่มตั้งแต่ไตรมาส 1/60 แนะนำนักลงทุนอย่ายึดกับความผิดหวังที่เกิดขึ้นในไตรมาส 4/59 (เหตุการณ์นอกเหนือการควบคุม) และทยอยเข้าสะสมในช่วงที่ราคาหุ้นอ่อนตัว เพื่อรับกับผลประกอบการที่จะดีขึ้นใน 2560 มองว่ามีโอกาสที่ภาพยนตร์ไทย 2 เรื่องในไตรมาส 1/60 จะสร้างความประหลาดใจเชิงบวกให้กับตลาดทั้ง “โอเวอร์ไซส์..ทลายพุง” จากค่ายน้องใหม่แต่มือเก๋า อย่าง T moment และ “Mr. Hurt มือวางอันดับเจ็บ” จาก Transformation ยังคงคำแนะนำ ซื้อ

 

นอกจากนี้ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) แนะนำ “ทยอยซื้อ” MAJOR ราคาเป้าหมาย 34 บาท/หุ้นโดยมองว่าในปี 2560 ภาพยนตร์จาก Hollywood แข็งแรงกว่าปี 2559 มีเรื่องใหญ่ๆ ราว 14 เรื่องเข้าฉาย เป็นตัวสนับสนุนรายได้ ในขณะที่ภาพยนตร์ไทยจากกลุ่ม MAJOR ก็จะมีอีกราว 10-12 เรื่อง การเพิ่มโรงภาพยนตร์ยังมีต่อเนื่องจากปี 2559 ที่เพิ่ม 75 โรง เป็น 676 โรง ในปี 2560 มีแผนจะเพิ่มอีก 91 โรง เป็น 767 โรง โดยเป็นในต่างจังหวัดมากขึ้นรองรับภาพยนตร์ไทย รวมถึงเปิดโรงภาพยนตร์ที่ลาวแห่งที่ 2 อีก 5 โรง ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบในไตรมาส 4/59 ก็คาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น ส่วนการเข้าทำคำเสนอซื้อ SF ที่ 24.11% เพื่อเพิ่มการถือหุ้นเป็น 49% ที่ราคา 6.20 บาท ในช่วง 21 ธ.ค. 59 – 26 ม.ค. 2560 คงต้องดูว่าจะมีผู้มาเสนอขายมากน้อยเพียงใด เพราะยังมีเวลาที่นักลงทุนจะตัดสินใจ เนื่องจากราคาปัจจุบันอยู่ที่ 6.15 บาทใกล้เคียงที่เสนอซื้อ การเข้าถือหุ้นใน SF เพื่อลงทุนระยะยาวและกระจายความเสี่ยงแหล่งรายได้และเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจโรงภาพยนตร์ 

ทั้งนี้ยังแนะนำ “ทยอยซื้อ” ราคาพื้นฐานที่ 34 บาท  ทางฝ่ายยังคงไม่ได้ปรับประมาณการ ดังนั้นจึงยังคงราคาพื้นฐานที่ 34 บาท อิง P/E ที่ 20 เท่า และ เงินปันผลที่ 1.44 บาท

Back to top button