ARROW กำไรเจิดจรัส ลุยเข้าประมูลงานเพียบ!

ARROW พี/อี ต่ำ ลุ้นกำไร Q4/59 สูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ ขณะที่การเติบโตของกำไรสุทธิปี 60 อาจทำได้ดีกว่าคาด รับประโยชน์การลงทุนของภาครัฐฯ โครงการรถไฟฟ้า-โครงการย้ายสายไฟลงดิน


ARROW พี/อี ต่ำ ลุ้นกำไร Q4/59 สูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ ขณะที่การเติบโตของกำไรสุทธิปี 60 อาจทำได้ดีกว่าคาด รับประโยชน์การลงทุนของภาครัฐฯ โครงการรถไฟฟ้า-โครงการย้ายสายไฟลงดิน

ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ ได้ทำการสำรวจข้อมูลบทวิเคราะห์ของ บริษัท แอร์โรว์ ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) หรือ ARROW หลังจากราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงวานนี้ (1 ม.ค.) โดยปิดที่ 18.10 บาท ปรับตัวขึ้น 0.70 บาท หรือ 4.02% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 139.43 ล้านบาท ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน นับตั้งแต่ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 17.30 บาท ณ วันที่ 30 ม.ค.60 ขณะที่ P/E ล่าสุด ณ วันที่ 31 ม.ค.60 อยู่ที่ 16.99 เท่า

สำหรับปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงนั้นคาดว่ามาจากประเด็นบวกจากการที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้การไฟฟ้านครหลวงดำเนินการตามแผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน โดยโครงการสายไฟฟ้าใต้ดินเส้นพระราม 3 นั้น ภาครัฐมีแผนจะเปิดประมูลทั้งหมด 3 เฟส ซึ่งในเฟสแรกจะเปิดประมูลในช่วงเดือน ก.พ.นี้ และน่าจะประกาศผลผู้ชนะประมูลได้ในช่วงกลางเดือน มี.ค.60 ขณะที่เฟสที่ 2 จะเปิดประมูลในช่วงกลางปี และเฟส 3 ในช่วงปลายปี ตามลำดับ 

ซึ่งมีแนวโน้มว่า ARROW จะเข้าร่วมประมูลงานดังกล่าว เนื่องจากบริษัทเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายท่อเหล็กเคลือบสังกะสีสำหรับร้อยสายไฟและข้อต่อ ซึ่งมีความพร้อมสำหรับงานดังกล่าว

 

โดย พลโทสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้การไฟฟ้านครหลวงดำเนินการตามแผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินปี 2551-2556 (ฉบับปรับปรุง) วงเงินลงทุนรวม 9.09 พันล้านบาท โดยใช้เงินกู้ในประเทศ 5.40 พันล้านบาท และเงินรายได้ของ กฟน. 3.69 พันล้านบาท

ทั้งนี้ได้ปรับเปลี่ยนแผนงาน ด้วยการขยายกรอบเวลาการดำเนินการเป็นปี 2551-2564 วงเงินรวม 9.09 พันล้านบาท ซึ่งได้ให้กฟน.จัดทำแผนบริหารจัดการความเสี่ยงในแผนงาน เพื่อลดความเสี่ยงที่จะส่งผลให้เกิดการดำเนินงานล่าช้า และหรือเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้น โดยกฟน.ควรจะมีการปรับปรุงโครงสร้างองค์กรให้สอดคล้องกับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นจากแผนงานโครงการย้ายระบบสายไฟฟ้าลงใต้ดิน พร้อมทั้งกำกับดูแลการพาดสายของหน่วยงานอื่นๆ ในปัจจุบันให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง

สำหรับแผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าฉบับปี 2551-2556 นั้น ประกอบด้วย 3 โครงการ คือ 1.โครงการปทุมวัน จิตรลดา และพญาไท เพิ่มเติม 2.โครงการพระราม 3 และ 3.โครงการนนทรี ขณะที่การดำเนินการนั้นในโครงการพระราม 3 และนนทรี ได้ใช้วิธีการว่าจ้างโดยว่าจ้างที่ปรึกษาออกแบบและจัดทำเอกสารประกวดราคา เพื่อจัดหาผู้รับจ้างก่อสร้าง

 

ขณะที่ นายธานินทร์ ตันประวัติ กรรมการผู้จัดการ ARROW เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจปี 2560 นั้น บริษัท ยังคงให้ความสำคัญกับธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าท่อร้อยสายที่บริษัทเป็นผู้นำด้านการตลาดให้เติบโตได้อย่างมีศักยภาพมากยิ่งขึ้น พร้อมๆ กับเน้นดำเนินธุรกิจผ่านบริษัท เมฆา-เอส จำกัด  ซึ่งเป็นบริษัทลูกดำเนินธุรกิจรับเหมาก่อสร้างงานระบบที่ขณะนี้ธุรกิจกำลังเติบโตอยู่ในทิศทางที่ดี ส่วนกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจบริษัทฯยังคงเน้นการบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 20-30%

ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2560 จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10-15% หรืออยู่ที่ประมาณ 1,600 ล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรสุทธิคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 18-22% แบ่งเป็นรายได้ที่มาจากท่อร้อยสายไฟประมาณ 80% และรายได้จากธุรกิจรับเหมาประมาณ 20% เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่ายังมีการเติบโตจากงานโครงสร้างพื้นฐานจากภาครัฐและเอกชนออกมาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับช่วงต้นปี 2560 บริษัทฯมีงานที่อยู่ในมือ (Backlog) รวมทั้งสิ้นประมาณ 250-300 ล้านบาท ที่ทยอยรับรู้รายได้

สำหรับภาพรวมของอุตสาหกรรมก่อสร้างอาคาร และอสังหาริมทรัพย์ในปี 2560 เชื่อว่าจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากการเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจากงานภาครัฐฯ โดยเฉพาะรถไฟฟ้าหลายสายต่างๆ ที่จะช่วยหนุนดีมานด์ท่อร้อยสายไฟเพิ่มมากขึ้น  รวมถึงโครงการเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าและสายสื่อสารโทรคมนาคมแบบสายอากาศเป็นระบบสายใต้ดิน ซึ่งล้วนแล้วส่งผลบวกต่อธุรกิจที่บริษัทดำเนินการอยู่ทั้งสิ้น

“ภาพรวมของอุตสาหกรรมก่อสร้าง และอสังหาฯ ปีหน้า เชื่อว่าน่าจะยังดูดี เพราะมีการลงทุนเพิ่มเติมด้านโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นโครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆ งานก่อสร้างหรือแม้กระทั่งการเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าแบบอากาศเป็นระบบสายใต้ดิน ทำให้บริษัทฯได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย ขณะที่ทิศทางธุรกิจในปี 2560 น่าจะเติบโตไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งการเติบโตหลักๆ ยังคงมาจากธุรกิจหลักอย่างการผลิต และจัดจำหน่ายท่อร้อยสายไฟฟ้าและท่อแบบต่างๆ และการดำเนินธุรกิจผ่านบริษัทย่อย ซึ่งทำธุรกิจรับเหมา แต่ประเด็นสำคัญคือ บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพเพื่อการเติบโตของรายได้และกำไรที่ยั่งยืน” นายธานินทร์ กล่าว

               

ด้านนักวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ ( 1 ม.ค.) แนะนำ “ซื้อ” ARROW ให้ราคาเป้าหมาย 22.30 บาท/หุ้น อิง PE Multiplier 18 เท่า จากคาดการณ์ผลประกอบการไตรมาส 4/59 ที่มีแนวโน้มสร้างสถิติสูงสุดใหม่ 75 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากไตรมาสก่อนและ 24% จากปีก่อนเนื่องจากเป็นช่วงส่งมอบท่อร้อยสายไฟรถไฟฟ้าสายสีแดง และท่อสื่อสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือ รวมถึง บริษัทลูกสามารถปิดงานรับเหมาติดตั้งระบบไฟฟ้าที่เหลือได้เกือบหมด ขณะที่การเติบโตของกำไรสุทธิปี 60 อาจทำได้ดีกว่าคาดที่ 313 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11%จากปีก่อน เพราะบริษัทลูกมี Backlog เติมเข้ามาต่อเนื่อง และคาดว่าจะส่งมอบท่อร้อยสายไฟของรถไฟฟ้าสีเขียวเหนือเพิ่มในไตรมาส 2/60

อีกทั้งงานก่อสร้างที่ฟื้นตัวจะทำให้ ARROW ได้ประโยชน์ 2 เด้ง จากการจำหน่ายท่อร้อยสายไฟ และท่อ Post-Tension ที่ใช้ในการงานโครงสร้าง ราคาหุ้นแม้จะขยับขึ้นมาแล้วพอควร แต่ PE2017 ยังต่ำเพียง 14 เท่า เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยกลุ่มก่อสร้าง MAI ที่ 25 เท่า ซึ่งมองว่า ARROW ควรซื้อขายที่ PE เท่ากับหรือสูงกว่ากลุ่ม เนื่องจากความสามารถในการทำกำไรที่สะท้อนมายังอัตรากำไรสุทธิ และ ROE ที่ 21% และ 28% สูงกว่ากลุ่มที่ 10% และ 15% ตามลำดับ

นอกจากนี้การเติบโตในระยะยาวก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ทั้งจากสินค้าใหม่ เช่น ท่อร้อยสายไฟใต้ดิน (มูลค่าโครงการลากสายไฟลงดินทั้งหมด 5 หมื่นล้านบาท เป็นส่วนของท่อ 1 พันล้านบาท) และการเข้าไปร่วมทุนกับธุรกิจเกี่ยวเนื่องคล้าย เม-ฆา เอส ที่จะยกระดับให้กำไรเติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งเป็น Upside ที่ยังไม่รวมไว้ในประมาณการ ราคาปัจจุบันซื้อขายบน PE2017 เพียง 14 เท่า ต่ำกว่ากลุ่มที่ 25 เท่า ทั้งที่ความสามารถในการทำกำไรดีกว่าค่าเฉลี่ยเท่าตัว 

 

ด้านนักวิเคราะห์ บล.เออีซี ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า ARROW จะได้รับประโยชน์จากการลงทุนของภาครัฐฯ ในโครงการต่าง ๆ เช่น โครงการรถไฟฟ้า โครงการสุวรรณภูมิเฟส 2 โครงการมอเตอร์เวย์ รวมถึงโครงการย้ายสายไฟลงดินของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ที่มีแผนนำสายไฟลงดิน ซึ่งช่วยหนุนให้ ARROW อยู่ในช่วงเดินหน้าทำสถิติกำไรสูงสุดใหม่ต่อเนื่องโดยในปี 59 คาดว่า ARROW จะมีกำไรสุทธิ 276 ล้านบาท เติบโต 12.40% จากปีที่แล้ว และเติบโตอีก 18.1% ในปี 60

ทั้งนี้จากแรงหนุนจากโครงการภาครัฐฯ ทำให้คาดว่า ARROW อยู่ในช่วงเดินหน้าทำสถิติกำไรสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง เมื่อบวกกับราคาหุ้นปัจจุบันยังมี Upside จากราคาเป้าหมายปี 60 ที่ 19.90 บาท อีกทั้งคาดจ่ายปันผลจากกำไรช่วงครึ่งหลังปีนี้อีกหุ้นละ 0.42 บาท คิดเป็น Dividend Yield 2.8% ทำให้ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 19.90 บาท

Back to top button