GFPT กำไรเริ่ด! ปีนี้โตต่อ ธุรกิจสดใส พี/อีต่ำกลุ่ม-อัพไซด์สูง
GFPT กำไรสุดเริ่ด! ปีนี้โตต่อ รับธุรกิจสดใสยอดส่งออกไก่-ราคาไก่พุ่ง-ต้นทุนวัตุดิบต่ำ เดินหน้าขยายฟาร์มรองรับออเดอร์ ฟากโบรกฯ ประสานเสียงเชียร์ “ซื้อ” ชูพี/อี ต่ำกลุ่ม-อัพไซด์สูงลิ่ว
GFPT กำไรสุดเริ่ด! ปีนี้โตต่อ รับธุรกิจสดใส ยอดส่งออก-ราคาไก่พุ่ง ต้นทุนวัตุดิบต่ำ เดินหน้าขยายฟาร์มรองรับยอดออเดอร์ ฟากโบรกฯ ประสานเสียงเชียร์ “ซื้อ” ชูพี/อี ต่ำกลุ่ม-อัพไซด์สูงลิ่ว
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจข้อมูลบทวิเคราะห์ของบริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน) หรือ GFPT หลังประกาศผลการดำเนินงานปี 59 ออกมาอย่างสุดหรู มีกำไรสุทธิ 1.64 พันลบ. เพิ่มขึ้น 37.56% จากปีก่อนมีกำไรสุทธิ 1.19 พันลบ. ขณะที่นักวิเคราะห์มองว่าในปี 60 จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากปริมาณยอดส่งออกไก่เนื้อและราคาส่งออกมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงต้นทุนวัตถุดิบยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่บริษัทพร้อมเดินหน้าขยายฟาร์มและโรงชำแหละเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น จึงคาดว่าจะส่งผลให้กำไรในปี 60 เติบโตอย่างแข็งแกร่ง
ขณะที่ P/E ยังต่ำกว่ากลุ่มและต่ำกว่าตลาด ล่าสุด ณ วันที่ 24 ก.พ.60 P/E อยู่ที่ 11.44 เท่า ขณะที่ P/E กลุ่มธุรกิจการเกษตร อยู่ที่ 26.59 เท่า ส่วน P/E ตลาด (SET) อยู่ที่ 18.14 เท่า นอกจากนี้ราคาหุ้นยังมีอัพไซด์จากราคาเป้าหมายสูงสุดที่นักวิเคราะห์ให้ที่ 18.50 บาท อยู่ 17.09% ด้านราคาหุ้น GFPT ล่าสุดปิดตลาดวานนี้ (27 ก.พ.) อยู่ที่ 15.80 บาท ปรับตัวขึ้น 0.80 บาท หรือ 5.33% มูลค่าซื้อขาย 204.38 ล้านบาท
โดย GFPT เปิดเผยว่า กลุ่มบริษัทยังคงมุ่งเน้นกลยุทธ์การสร้างการเติบโตจากธุรกิจภายใน (Organic Growth) ซึ่งการเน้นการขยายกำลังการผลิตไก่เนื้อที่ได้มาตรฐานทั้งระบบการผลิต ในปี 60-62 กลุ่มบริษัทมีแผนการขยายฟาร์มเลี้ยงไก่เนื้ออีกปีละ 20,000 – 25,000 ตัวต่อวันต่อปี โดยคาดว่าน่าจะใช้งบลงทุนปีละ 1,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ GFPT มองว่าในปี 60 สภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยน่าจะสามารถขยายตัวได้ดีกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งจะส่งผลให้การบริโภคภายในประเทศขยายตัวได้ สำหรับแนวโน้มของอุตสาหกรรมไก่เนื้อของไทยยังคงสดใส จากการส่งออกเนื้อไก่สดและผลิตภัณฑไก่แปรรูปรุงสุกที่มีมากขึ้น โดยคาดการณ์ว่าปีนี้ประเทศไทยจะสามารถส่งออกเนื้อไก่และผลิตภัณฑ์ได้เพิ่มขึ้น มีปริมาณรวม 750,000 ตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 9.60 หมื่นล้านบาท เนื่องจากแนวโน้มความต้องการเนื้อไก่ในตลาดโลกยังมีอย่างต่อเนื่อง
อีกทั้ง ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่ของไทยได้รับความเชื่อถือในเรื่องคุณภาพ ได้มาตรฐานสากล และความปลอดภัยด้านอาหาร เนื่องจากผู้ผลิตให้ความเข้มงวดในการบริหารจัดการฟาร์มเลี้ยงไก่และระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) ที่มีมาตรฐานระดับโลกรวมถึงความเข้มงวดในการตรวจสอบของรัฐบาลและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงทำให้สินค้าเนื้อไก่สดแช่แข็งและผลิตภัณฑ์ไก่แปรรูปปรุงสุกของไทยได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ซึ่งในปี 59 ประเทศไทยสามารถเปิดตลาดไก่เพิ่มขึ้นอีก 2 ประเทศคือ เกาหลีและสิงคโปร์
ด้านนักวิเคราะห์ บล.บัวหลวง แนะนำ “ซื้อ” GFPT ราคาเป้าหมาย 18.50 บาท/หุ้น โดยฝ่ายวิจัยเชื่อว่าตลาดส่งออกใหม่สำหรับไก่สดแช่แข็งซึ่งได้แก่ เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และโอกาสสำหรับซาอุดิอาระเบียตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 60 จะเป็นปัจจัยบวกและถือเป็นอัพไซด์ต่อ GFPT รวมถึงผู้ประกอบการส่งออกไก่เนื้อของไทยทุกรายในปี 60 เนื่องจากปริมาณยอดส่งออกและราคาส่งออกที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น รวมถึงภาวะที่ต้นทุนวัตถุดิบที่ยังคงทรงตัวในระดับต่ำอย่างชัดเจนซึ่งส่งผลบวกต่ออัตรากำไรขั้นต้นของบริษัท จึงคาดว่าอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิของ GFPT จะยังคงดีแข็งแกร่งต่อเนื่องไปตลอดทั้งปี 60
ส่วนแนวโน้มอัตราการเติบโตของส่งออกถ้าอ้างอิงจากข้อมูลวันที่ 25 ม.ค.60 สมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อส่งออกของไทยคาดว่าในปี 2560 ปริมาณยอดส่งออกเนื่อไก่ของประเทศไทยจะอยู่ที่ 7.60 แสนตัน เพิ่มขึ้น 2.3% จาก 7.43 แสนตันในปี 59 และเนื่องจากปริมาณยอดส่งออกของประเทศไทยเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 7 หมื่นตัน/เดือน ในช่วง 5-6 เดือนก่อนหน้า รวมถึงตลาดส่งออกใหม่สำหรับไก่สดแช่แข็งเช่น เกาหลีใต้และสิงคโปร์ และการระบาดของไข้หวัดนกในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ซึ่งนำไปสู่การฆ๋าไก่จำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม ถ้าเปรียบเทียบเป้ายอดขายของบริษัทในปี 60 ที่ 5-10% (5-8% มาจากการเติบโตของปริมาณยอดขายและ 2-3% มาจากราคาขายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น) ฝ่ายวิจัยประมาณการอัตราการเติบโตของยอดขาย GFPT อย่างอนุรักษ์นิยมที่ 6.7% สำหรับในปี 2560 โดยจะมาจากปริมาณยอดขายที่เพิ่มขึ้น 5% และราคาขายที่เพิ่มขึ้น 2% คาดราคาไก่ในประเทศมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นได้อีก 1-2 บาทต่อกก. มาอยู่ที่ 38-39 บาทต่อกก.ในปี 2560 (เทียบกับราคาเฉลี่ยที่ 37 บาทต่อกก.ในปี 59)
ขณะที่ประมาณการอัตรากำไรขั้นต้นที่ 15.4% สำหรับในปี 60 ซึ่งถือว่าสอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัทที่ 14-15% โดยสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นดังกล่าวอ้างอิงต้นทุนวัตถุดิบที่มีแนวโน้มทรงตัวในปี 2560จึงคาดกำไรสุทธิไตรมาส 1/60 ที่ 350 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27%จากปีก่อน (จากปริมาณยอดส่งออกที่เพิ่มขึ้นแข็งแกร่ง) แต่ลดลง 29% จากไตรมาสก่อน (จากปัจจัยด้านฤดูกาลซึ่งเป็นช่วงโลว์ซีซั่น)
ขณะที่นักวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ แนะนำ “ซื้อ” GFPT ราคาเป้าหมาย 17.80 บาท/หุ้น โดยอุตสาหกรรมส่งออกไก่ไทยคาดปี 2560 นี้จะส่งออกเพิ่มขึ้น 2.3% อยู่ที่ 7.6 แสนตัน จากความต้องการที่ญี่ปุ่นและยุโรปที่เพิ่มขึ้นรวมถึงเกาหลีใต้และตลาดสิงคโปร์คได้เปิดนำเข้าไก่ไทยเพิ่มขึ้น และอยู่ระหว่างเจรจาเปิดตลาดตะวันออกกลางโดยเฉพาะประเทศซาอุดีอาระเบีย GFPT ได้เตรียมขยายกำลังการผลิตเพิ่มชำแหละไก่เพิ่มขึ้น 15% เป็น 1.5 แสนตัวในปีนี้ เพื่อรองรับการส่งออกและการขยายกำลังการผลิตของบริษัทร่วมทุนทั้ง Mckey และ GFN ที่ขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 20% เช่นกัน เงินลงุทน 1,000 ล้านบาท แนวโน้มกำไรไตรมาส 1/60 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนจากฐานการส่งออกที่เพิ่มขึ้น แต่จะอ่อนตัวลงจากไตรมาส 4/59 เนื่องจากเป็นช่วงโลว์ซีซั่นการส่งออก คาดส่งออกที่ 7,500 ตันจากไตรมาส 4/59 อยู่ที่ 9,200 ตัน แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/59 ที่ 5,300 ตัน
โดยฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการเดิมปี 60-61 คาดจะปรับดีขึ้นอยู่ที่เฉลี่ย 37-38 บาท/กก. ราคาไก่ปัจจุบันได้ปรับเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 40 บาท/กก. จาก ธ.ค.16 อยู่ที่ 35 บาท (สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร) และต้นทุนวัตถุดิบที่คาดลดลงโดยเฉพาะข้าวโพดอาหารสัตว์ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 9% คาดกำไรปี 60-61 อยู่ที่ 1,713 และ 1,782 ล้านบาท ตามลำดับ
ส่วนนักวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) แนะนำ “ซื้อ” GFPT ราคาเป้าหมาย 17.60 บาท/หุ้น โดยทางฝ่ายคาดการดำเนินงานปี 60 จะเติบโตได้ในอัตราที่ลดลงจากผลบวกของราคาวัตถุดิบที่ได้คงไม่มากอย่างเช่นปีที่ผ่านมา อีกทั้งการกลับมาจ่ายภาษีในอัตราปกติจากสิทธิประโยชน์ที่หมดลงเป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลต่อการดำเนินงานให้เติบโตได้ไม่มากนัก อย่างไรก็ตามจากการอนุญาตนำเข้าไก่จากไทยเพิ่มในหลายประเทศเช่น เกาหลี และสิงคโปร์ รวมถึงอยู่ระหว่างการเจรจาการส่งออกไก่ไปตะวันออกกลางซึ่งเป็นประเทศที่มีศักยภาพการบริโภคที่สูงจะทำให้การส่งออกไก่ไทยยังเติบโตได้ดี
ขณะที่ตลาดส่งออกเดิมที่มีการเติบโตมากอย่างญี่ปุ่นที่ลดการนำเข้าจากญี่ปุ่นจากปัญหาการผลิตในประเทศจีนที่ไม่ได้มาตรฐานทำให้คาดว่าตลาดดังกล่าวยังเติบโตได้ดี ทางฝ่ายปรับประมาณการผลการดำเนินงานปี 60 ขึ้น 8% จากเดิม โดยปรับยอดขายเพิ่มเป็น 1.82 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากปีก่อน จากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการส่งออกราว 7% ขณะที่ราคาขายเพิ่มเพียง 3% แต่คาดว่าแนวโน้ม margin อาจต่ำลงจากปีก่อนจากผลบวกของราคาวัตถุดิบอาจไม่มากอย่างเช่นปีที่ผ่านมา แต่หากว่าการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนจะเพิ่มเป็น 387 ล้านบาทจากการเพิ่มขึ้นของกำไรทั้งแมคคีย์และ GFN แต่หากอัตราภาษีจ่ายกลับสู่ภาวะปกติ ปรับกำไรสุทธิเพิ่มเป็น 1.70 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากปีก่อน
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน