สอยยัง! 20 หุ้น Turnaround ชูปีนี้แผนงานเด่น-เน้นกำไรต่อเนื่อง
สอยยัง! 20 หุ้น Turnaround ชูแผนงานเด่น-เน้นกำไรต่อเนื่อง นำโดย PTTEP,BANPU,TFG,NOBLE,PAP,PERM,BSBM,TLUXE,ACAP,S,TPOLY,PLE,UMI, MAX, RT,SAM, CHOW,RWI,TVD และ SMT
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย SET-mai ประจำปี 59 งวดสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 59 โดยพบว่า 20 หลักทรัพย์มีความน่าสนใจต่อการลงทุนในปีนี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากบริษัทสามารถพลิกกลับมาทำกำไรได้อย่างแข็งแกร่งอีกครั้ง
ขณะเดียวกันมีแนวโน้มที่ธุรกิจบริษัทจะกลับมาทำกำไรได้โดดเด่นต่อเนื่อง และมีศักยภาพในการทำกำไรในอนาคตได้อย่างยั่งยืน ที่สำคัญหุ้นทั้ง 20 ตัว ล้วนแต่เป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องจึงเชื่อการสำรวจหุ้นกลุ่มดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อการการตัดสินใจเข้าลงทุน อย่างไรก็ตามครั้งนี้ไม่สามารถนำเสนอข้อมูลหุ้นได้ครบทุกตัวดังนั้นจึงขอคัดเลือกและนำเสนอข้อมูลหุ้นที่พลิกมีกำไรสูงสุด 5 อันดับแรกเพียงเท่านั้น
อันดับ 1 บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 59 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.59 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 1.29 หมื่นล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 3.16 หมื่นล้านบาท โดยผลการดำเนินงานพลิกมีกำไร เนื่องจากรับรู้กำไรและผลประโยชน์ทางภาษีที่เกี่ยวข้องกับอัตราแลกเปลี่ยน
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ไตรมาส 4/59 ออกมาเป็นขาดทุนสุทธิ 872 ล้านบาท (จากกำไรสุทธิ 5.4 พันล้านบาทในไตรมาส 3/59 และ 4.7 พันล้านบาทในไตรมาส 4/58) ซึ่งต่ำกว่าคาด เนื่องจากมีรายการพิเศษกว่า 5 พันล้านบาท
ซึ่งเป็นผลกระทบด้านอัตราแลกเปลี่ยนในภาษีค้างจ่ายและการทำประกันความเสี่ยงราคาน้ำมัน และมีการตั้งสำรองด้อยค่าในเงินลงทุน 2 โครงการ คือ Natuna Sea A และ Yetagun แต่เป็นรายการที่ไม่ใช่เงินสด ด้าน Core Profit ของ ไตรมาส 4/59 +64% เทียบไตรมาสก่อนหน้ามาจากปริมาณขายที่สูงขึ้นแม้ว่าราคาขายเฉลี่ยจะอ่อนลง และการควบคุมค่าใช้จ่าย สำหรับภาพรวมกำไรสุทธิทั้งปี 59 เท่ากับ 12.9 พันล้านบาท พลิกจากขาดทุนสุทธิ 31.6 พันล้านบาทในปี 58 เพราะในปี 58 มีขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์
แนวโน้มปี 60 คาดว่าจะดีขึ้นจากการฟื้นตัวของราคาน้ำมัน ประมาณการว่ากำไรสุทธิจะ +15% โดยมีสมมติฐานราคาขายเฉลี่ยปี 60 เท่ากับ 39 ดอลลาร์/บาร์เรล และต้นทุน (Unit Cost) 30-31 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่ราคาหุ้นได้สะท้อนแนวโน้มไปพอควรแล้ว ราคาปัจจุบันจึงเหลือ Upside จากราคาเป้าหมายเราที่ 105 บาท (DCF) ไม่มาก จึงแนะนำเพียงถือ
อันดับ 2 บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 59 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.59 (รวมบริษัทย่อย)มีกำไรสุทธิ 1,677.12 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 1,534.25 ล้านบาท โดยผลการดำเนินงานพลิกมีกำไร เนื่องจากต้นทุนขายลดลง อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการขาย-บริการลดลง
พร้อมกันนี้บริษัทประกาศจ่ายปันผลงวดดำเนินงานวันที่ 1 ก.ค.2559 ถึงวันที่ 31 ธ.ค.2559 และกำไรสะสมเป็นเงินสดในอัตราการ 0.25 บาทต่อหุ้น โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD ไม่ได้รับสิทธิปันผลในวันที่ 10 เม.ย.60 กำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 28 เม.ย.60
นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BANPU เปิดเผยว่า บริษัทตั้งงบลงทุนในปี 60 รวม 210 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยแบ่งเป็นธุรกิจถ่านหิน 30 ล้านเหรียญสหรัฐ ธุรกิจพลังงาน 117 ล้านเหรียญสหรัฐ และธุรกิจใหม่ คือ Oil & Gas ราว 63 ล้านเหรียญสหรัฐ
โดยแผนการดำเนินงานในปี 60 ยังมุ่งมั่นพัฒนาทุกกลุ่มธุรกิจให้แข็งแกร่ง รวมถึงพัฒนาศักยภาพด้านการจัดการและด้านการลงทุนเพื่อสร้างเสริมความเชี่ยวชาญในธุรกิจพลังงานตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำอย่างต่อเนื่อง
อันดับ 3 บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TFG รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 59 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.59 (รวมบริษัทย่อย) พลิกมีกำไรสุทธิ 1,446.80 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุน 1,574.31 ล้านบาท เนื่องจากรายได้จากธุรกิจไก่และสุกรเพิ่มขึ้น โดยในปี 2559 รายได้ขายสุกรมีจำนวน 5.44 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.73 จากงวดเดียวกันของปีก่อน
นายเชิดศักดิ์ กู้เกียรตินันท์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ TFG เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ในปี 60 เติบโตไม่ต่ำกว่า 15% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยได้รับปัจจัยหนุนจากปริมาณการผลิตไก่ สุกร อาหารสัตว์ ที่เพิ่มขึ้น การเพิ่มสัดส่วนของสินค้าที่มีกำไรขั้นต้น อีกทั้งราคาวัตถุดิบที่น่าจะปรับตัวลดลงดีกว่าปีที่ผ่านมา จะช่วยให้รายได้และกำไรของบริษัทในปีนี้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ให้เป็นปีแห่งการเติบโต หรือ “Year of Growth”
บริษัทได้จัดเตรียมแผนการขยายธุรกิจโดยใช้กลยุทธ์สร้างพันธมิตร และลงทุนต่ำในสินทรัพย์ถาวร (Asset-Light Partnering Strategy) หลังจากในปีที่ผ่านมาบริษัทได้เข้าร่วมลงทุนในกิจการ “บิ๊ก ฟู้ดส์” ในสัดส่วน 75% มูลค่าลงทุน 60 ล้านบาท ผลิตไก่เข้าสู่ตลาดภูธร วันละ 40,000 ตัว และมีแผนงานเพิ่มไก่เป็นวันละ 60,000 ภายในสิ้นปีนี้
อันดับ 4 บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE รายงานผลการดำเนินงานปี 59 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.59 (รวมบริษัทย่อย) พลิกมีกำไรสุทธิ 682.20 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุน 467.66 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มขึ้น โดยมีรายได้จากการขายธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น สาเหตุรับรู้รายได้จากโครงการโนเบิล เพลินจิต
พร้อมกันนี้บริษัทประกาศจ่ายปันผลจากงวดดำเนินงานวันที่ 1 ม.ค. 2559 ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2559 เป็นเงินสดจำนวน 0.22 บาทต่อหุ้น โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD ไม่ได้รับสิทธิปันผลในวันที่ 26 เม.ย. 2560 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 16 พ.ค. 2560
นายศิระ อุดล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทวางแผนเบื้องต้นที่จะเปิดโครงการใหม่มากกว่า 2 โครงการ จากปีก่อนที่เปิดตัวไป 1-2 โครงการ โดยบริษัทมองภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมมีโอกาสเติบโตจากปีก่อนที่ชะลอตัว ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวดีขึ้น ประกอบกับความต้องการที่อยู่อาศัยยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง
สำหรับกลยุทธ์การขายในปีนี้บริษัทจะรุกขยายฐานกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติเพิ่มมากขึ้น จากปัจจุบันที่มีสัดส่วน 10% โดยบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาและเก็บข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่เข้ามาซื้อโครงการ ก่อนที่จะเริ่มนำโครงการไปเดินสายโรดโชว์ในต่างประเทศเป็นครั้งแรก และที่ผ่านมาก็ไม่เคยตั้งเอเจนซี่ทำตลาดลูกค้าชาวต่างชาติมาก่อน แต่ลูกค้าต่างชาติเข้ามาซื้อโครงการเป็นการเข้าซื้อด้วยตัวเอง ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าจากไต้หวัน สิงคโปร์ และจีน อย่างไรก็ตาม ลูกค้าหลักราว 90% เป็นกลุ่มลูกค้าในประเทศ
อันดับ 5 บริษัท แปซิฟิกไพพ์ จำกัด (มหาชน) หรือ PAP รายงานผลการดำเนินงานปี 59 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.59 (รวมบริษัทย่อย) พลิกมีกำไรสุทธิ 546.38 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุน 42.99 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากการขายและบริการเพิ่มขึ้น และมีค่าใช้จ่ายทางการเงินลดลง จากการชำระเงินกู้ระยะยาวก่อนกำหนดทั้งจำนวน
นายพฤทธิ์ ลี้วิไลกุลรัตน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ บริษัท แปซิฟิกไพพ์ จำกัด (มหาชน) หรือ PAP เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมปี 60 เติบโต 10-15% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 7.15 พันล้านบาท สอดคล้องกับปริมาณยอดขายที่คาดว่าจะเติบโตราว 10% จากปีก่อนที่มียอดขายท่อเหล็กราว 3.2 แสนตัน โดยมีปัจจัยหนุน คือการลงทุนของภาครัฐบาลในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นภาคเอกชนที่ได้เข้าไปรับงานของรัฐบาล
สำหรับแนวโน้มผลประกอบไตรมาส 1/60 บริษัทคาดว่าจะดีกว่าช่วงไตรมาส 4/59 เพราะราคาเหล็กม้วน ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยช่วงต้นปีนี้าราคาอยู่ที่ 20 บาท/กิโลกรัม เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 59 เฉลี่ยอยู่ที่ 17-18 บาท/กิโลกรัม และยังส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิในปีนี้น่าจะอยู่ในระดับสูงจะใกล้เคียงปีก่อนที่ 13.91% และ 7.64% ตามลำดับ
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่า นั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน