หุ้นกู้ GL ระส่ำ “ทริสฯ” จ่อปรับลดเครดิตเรตติ้ง!
"ทริสฯ"ปรับแนวโน้มเครดิตหุ้นกู้ GL เป็น "ลบ" จากเดิม "คงที่" หวั่น 3 ความเสี่ยงกระทบความน่าเชื่อถือบริษัทฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกันบางส่วนชุดปัจจุบันของ บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL ที่ระดับ “A-” ขณะที่ปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของหุ้นกู้ชุดดังกล่าวเป็น “Negative” หรือ “ลบ” จากเดิม “Stable” หรือ “คงที่”
โดยอันดับเครดิตของหุ้นกู้มีการค้ำประกันบางส่วนสะท้อนความน่าเชื่อถือของทั้งผู้ค้ำประกันและผู้ออกตราสาร ทั้งนี้หุ้นกู้ชุดปัจจุบันของบริษัทได้รับการค้ำประกันในสัดส่วน 65% ของเงินต้นและดอกเบี้ยค้างชำระจากธนาคารกสิกรไทย
ด้านธนาคารกสิกรไทยได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” (International Scale) จาก S&P Global Ratings แนวโน้ม “Negative” หรือ “ลบ” ของหุ้นกู้ถูกกำหนดจากความน่าเชื่อถือของบริษัทซึ่งสะท้อนความเสี่ยงทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้นจากการขยายตัวในตลาดที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น และจากความเสี่ยงด้านการกระจุกตัวจากการปล่อยสินเชื่อขนาดใหญ่ให้แก่ผู้กู้เพียงไม่กี่ราย
นอกจากนี้ บริษัทยังมีความเสี่ยงจากการด้อยค่าของสินทรัพย์จากเงินลงทุนขนาดใหญ่ในประเทศศรีลังกาด้วย แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative” หรือ “ลบ” ของหุ้นกู้ของบริษัทสะท้อนความเสี่ยงทางธุรกิจของบริษัทที่เพิ่มสูงขึ้น อันเนื่องมาจากปัจจัย 3 ประการ ได้แก่ การขยายตัวไปในตลาดที่มีความเสี่ยงสูงกว่าตลาดเดิม การให้สินเชื่อขนาดใหญ่แก่ผู้กู้รายใหญ่เพียงไม่กี่ราย และความเสี่ยงจากการด้อยค่าของสินทรัพย์จากการลงทุนในประเทศศรีลังกา ทั้งนี้ คาดหวังว่าการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นใหญ่จะยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามทริสเรทติ้งยังคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางการตลาด ตลอดจนควบคุมคุณภาพสินเชื่อโดยรวม และยกระดับผลประกอบการทางการเงินให้ดีขึ้นได้ การปรับลดอันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตของหุ้นกู้อาจเกิดขึ้นในกรณีที่มีความไม่แน่นอนอื่นๆ เกิดขึ้น หรือกรณีที่คุณภาพสินทรัพย์หรือความสามารถในการทำกำไรของบริษัทเสื่อมถอยลงมากกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดไว้ หรือกรณีที่ความน่าเชื่อถือทางด้านเครดิตของผู้ค้ำประกันหุ้นกู้ของบริษัทอ่อนแอลง
ทั้งนี้ การปรับเพิ่มอันดับเครดิตไม่น่าจะเกิดขึ้นในระยะกลาง ณ เดือนธันวาคม 2559 บริษัทมีสินทรัพย์ 17,266 ล้านบาท โดยสัดส่วนใหญ่ที่สุดมาจากการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ สินเชื่อเช่าซื้อเครื่องจักรทางการเกษตร และสินเชื่อที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันในประเทศไทย กัมพูชา ลาว และอินโดนีเซีย คิดเป็น 38.1% ของสินทรัพย์รวม
ขณะที่ราว 1 ใน 5 หรือ 21.77% ของสินทรัพย์เป็นเงินให้สินเชื่อแก่ผู้กู้ 2 กลุ่มซึ่งจดทะเบียนในประเทศไซปรัสและสิงคโปร์ ส่วนที่เหลือประกอบด้วยเงินลงทุนในบริษัท Commercial Credit and Finance (CCF) ซึ่งประกอบธุรกิจในประเทศศรีลังกาคิดเป็น 14.74% เงินลงทุนในบริษัทอื่น ๆ ในประเทศสิงคโปร์และอินโดนีเซียคิดเป็น 2.76% เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดคิดเป็น 14.78% และสินทรัพย์อื่น ๆ อีก 7.86% บริษัทเริ่มกระจายธุรกิจไปยังประเทศต่างๆ ในกลุ่มอินโดจีนในปี 2556 โดยเริ่มปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อในประเทศกัมพูชาผ่านบริษัทลูกที่บริษัทถือหุ้นทั้งหมดคือ GL Finance PLC (GLF)
โดยร่วมมือกับ Honda NCX ซึ่งเป็นผู้ผลิตและตัวแทนจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้าแต่เพียงผู้เดียวในประเทศกัมพูชา ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2559 สินเชื่อคงค้างของ GLF คิดเป็น 30% โดยประมาณของสินเชื่อคงค้างรวมของบริษัท ในปี 2557 บริษัทเริ่มดำเนินกิจการในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) ผ่านบริษัทลูก คือ GL Leasing (Lao) Co., Ltd. (GLL) โดยมีรูปแบบธุรกิจที่ใกล้เคียงกับในประเทศกัมพูชา โดย GLL เน้นการให้สินเชื่อเครื่องจักรทางการเกษตรและสินเชื่อรถจักรยานยนต์
นอกจากนี้ บริษัทยังกำลังขยายธุรกิจไปยังประเทศอินโดนีเซียผ่านบริษัทลูก คือ PT Group Lease Finance Indonesia (GLFI) ซึ่งเป็นกิจการร่วมค้าระหว่าง Group Lease Holdings Pte., Ltd. (GLH) J Trust Asia Pte., Ltd. และบริษัทท้องถิ่นในอินโดนีเซียด้วย โดย GLFI ได้รับใบอนุญาตอย่างเป็นทางการจากทางการประเทศอินโดนีเซีย (OJK) ในเดือนกรกฎาคม 2559 ในช่วงครึ่งหลังของปี 2558 บริษัทเริ่มปล่อยสินเชื่อผ่าน GLH ด้วยวงเงินที่มีนัยสำคัญในสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ให้แก่กลุ่มผู้กู้ยืม 2 กลุ่มซึ่งจดทะเบียนในประเทศไซปรัสและสิงคโปร์
โดยผู้กู้ทั้ง 2 กลุ่มนี้ได้ปล่อยสินเชื่อซึ่งได้รับมาจาก GLH ต่อไปยังผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์ในประเทศกัมพูชา ณ สิ้นปี 2558 บริษัทมีเงินให้สินเชื่อคงค้างแก่ผู้กู้ทั้งสองกลุ่มนี้รวมกันเท่ากับ 2,758 ล้านบาท มูลค่าของเงินให้สินเชื่อนี้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ณ สิ้นปี 2559 เป็น 3,759 ล้านบาท หรือ 21.77% ของสินทรัพย์รวมของบริษัท ซึ่งนับว่าเป็นมูลค่าที่มีนัยสำคัญและทำให้ความเสี่ยงทางธุรกิจของบริษัทเพิ่มสูงขึ้น จากวงเงินให้สินเชื่อคงค้างที่มีมูลค่าสูงซึ่งปล่อยให้แก่ผู้กู้เพียง 2 กลุ่ม
ทั้งนี้บริษัทจึงมีโอกาสเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากการขยายไปยังตลาดที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นและมีความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของสินเชื่อ บริษัทขยายธุรกิจไปยังประเทศศรีลังกาในเดือนธันวาคม 2559 โดยลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัท CCF มูลค่ารวม 2,489 ล้านบาท ทำให้บริษัทมีสัดส่วนเงินลงทุนใน CCF อยู่ที่ 29.99% ของทุนเรือนหุ้นทั้งหมด การลงทุนในประเทศศรีลังกาอาจนำมาซึ่งโอกาสใหม่ๆ ในการเติบโต แต่ก็อาจทำให้บริษัทต้องเผชิญกับความเสี่ยงต่อการด้อยค่าของสินทรัพย์ด้วยเช่นกัน ณ สิ้นปี 2559 งบดุลของบริษัทสะท้อนมูลค่าทางบัญชีของเงินลงทุนใน CCF ที่ 2,545 ล้านบาท ตามวิธีส่วนได้เสีย คุณภาพสินเชื่อเช่าซื้อและเงินให้สินเชื่อแก่ผู้บริโภค
โดยมีหลักทรัพย์ค้ำประกันของบริษัทปรับตัวดีขึ้นค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมาแม้ว่าเศรษฐกิจของประเทศจะยังเติบโตในระดับที่ค่อนข้างช้า เช่นเดียวกับกระบวนการจัดเก็บหนี้ของบริษัท ความพยายามดังกล่าวส่งผลให้อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (สินเชื่อค้างชำระมากกว่า 3 เดือน) ต่อสินเชื่อเช่าซื้อและเงินให้สินเชื่อแก่ผู้บริโภคโดยมีหลักทรัพย์ค้ำประกันลดลงจาก 9.4% ณ สิ้นปี 2557 เป็น 5.93% ณ สิ้นปี 2558 และ 4.36% ณ สิ้นปี 2559 ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะยังคงนโยบายการอนุมัติสินเชื่อและการจัดเก็บหนี้ที่มีประสิทธิภาพ
อีกทั้งยังคาดหวังด้วยว่าบริษัทจะดำเนินมาตรการควบคุมคุณภาพสินเชื่ออย่างต่อเนื่องต่อไป ผลประกอบการของบริษัทปรับตัวดีขึ้นในปี 2558 และปี 2559 โดยอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองต่อสินเชื่อเช่าซื้อและเงินให้สินเชื่อแก่ผู้บริโภคโดยมีหลักทรัพย์ค้ำประกันถัวเฉลี่ยลดลงเป็น 5.4% ในปี 2558 และ 4.68% ในปี 2559 อีกทั้งอัตราส่วนขาดทุนจากการขายรถจักรยานยนต์ยึดคืนต่อสินเชื่อเช่าซื้อและเงินให้สินเชื่อแก่ผู้บริโภคโดยมีหลักทรัพย์ค้ำประกันถัวเฉลี่ยก็ปรับลดลงอย่างต่อเนื่องเป็น 5.38% ในปี 2558 และ 3.47% ในปี 2559
ขณะที่กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 583 ล้านบาทในปี 2558 และ 1,063 ล้านบาทในปี 2559 และอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 6.46% ในปี 2558 และ 7.58% ในปี 2559 ความยืดหยุ่นทางการเงินของบริษัทปรับตัวดีขึ้นหลังจากมีการเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นในปี 2550 โดยบริษัทสามารถขยายฐานสินเชื่อด้วยการกู้ยืมเงินโดยมีความน่าเชื่อถือของผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นปัจจัยสนับสนุน ณ สิ้นปี 2559 อัตราส่วนของส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมของบริษัทลดลงเป็น 49.24% จาก 70.43% ณ สิ้นปี 2558 จากเงินรับล่วงหน้าจากการออกหุ้นกู้แปลงสภาพจาก J Trust Asia Pte., Ltd.
ทั้งนี้ อัตราส่วนดังกล่าวยังคงเพียงพอสำหรับธุรกิจสินเชื่อรถจักรยานยนต์ที่มีความเสี่ยงสูงของบริษัทและยังคงเพียงพอสำหรับการขยายสินเชื่อของบริษัท ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะรักษาระดับฐานทุนที่สูงกว่าผู้ประกอบการธุรกิจให้สินเชื่อยานพาหนะทั่วไปที่เน้นรถยนต์นั่งและรถกระบะ ทั้งนี้ ฐานทุนที่แข็งแกร่งของบริษัทจะเป็นปัจจัยส่งเสริมใน 2 ด้าน คือ ช่วยเป็นฐานในการขยายธุรกิจไปยังตลาดอื่น ๆ ในกลุ่มประเทศอาเซียน และช่วยปกป้องผลประกอบการของบริษัทจากผลขาดทุนอันอาจเกิดจากกลุ่มลูกค้าที่มีความเสี่ยงสูง อนึ่ง อันดับเครดิตตราสารหนี้ GL199A: หุ้นกู้มีการค้ำประกันบางส่วนมูลค่ารวม 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2562 อยู่ที่ A- แนวโน้มอันดับเครดิต: Negative
อนึ่งการปรับแนวโน้มอันดับเครดิตลงเป็นลบในครั้งนี้ สะท้อนความเสี่ยง 3 ปัจจัยหลักในด้านของการขยายตัวไปในตลาดที่มีความเสี่ยงสูงกว่าตลาดเดิม ,การให้สินเชื่อขนาดใหญ่แก่ผู้กู้รายใหญ่เพียงไม่กี่ราย และความเสี่ยงจากการด้อยค่าของสินทรัพย์จากการลงทุนในประเทศศรีลังกา
อย่างไรก็ตามทริสเรตติ้งยังคงอันดับเครดิตไว้ที่ “A-” และยังไม่มีแนวโน้มว่าจะปรับลดเครดิตลงในเร็วๆนี้ แต่การปรับแนวโน้มเป็นลบ ก็ส่งผลให้เกิดความกังวลว่าหากมีการปรับอันดับเครดิตในครั้งหน้า มีโอกาสที่ทริสเรตติ้งอาจทำการลดอันดับหุ้นกู้ GL เหลือเพียง “BBB+”