WORK กำไร Q1 โตทะลุเท่าตัว! รับเรตติ้งรายการดังกระฉูด
WORK กำไร Q1/60 โตทะลุเท่าตัว! รับเรตติ้งรายการดังกระฉูด-ปรับขึ้นอัตราโฆษณา โบรกฯ เชียร์ “ซื้อ” ให้เป้าสูง-อัพไซต์เพียบ พร้อมปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 61
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจข้อมูลบทวิเคราะห์ของบริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ WORK หลังเริ่มเข้าสู่ช่วงของการประกาศผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 1/60 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย โดยนักวิเคราะห์มองว่ากำไรไตรมาส 1/60 ของ WORK จะเติบโตเกือบ 2 เท่าตัวจากปีก่อน หลังเรตติ้งสูงขึ้นในงวดไตรมาส 1/60 จากรายการ The mask singer, I can see your voice Thailand และ ไมค์ทองคำเด็ก ส่งผลให้บริษัทปรับขึ้นค่าโฆษณาได้สูงกว่าปกติ
ด้านราคาหุ้นวานนี้ (26 เม.ย.) อยู่ที่ 53.00 บาท ลบ 0.50 บาท หรือ 0.93% สูงสุดที่ 53.50 บาท ต่ำสุดที่ 52.25 บาท มูลค่าซื้อขาย 64.41 ล้านบาท ขณะที่ราคาหุ้นยังมีอัพไซด์จากราคาเป้าหมายที่นักวิเคราะห์ให้ที่ 62 บาท อยู่ 16.98%
โดยนายชลากรณ์ ปัญญาโฉม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานทีวีดิจิทัล WORK เปิดเผยว่า ขณะที่อยู่ระหว่างเจรจากับเอเยนซีโฆษณา เพื่อขอปรับราคาโฆษณาของช่องเวิร์คพอยท์ให้ขึ้นมาเท่ากับช่อง 3 และช่อง 7 เนื่องจากปัจจุบันบางรายการของช่องเวิร์คพอยท์สามารถมีเรตติ้งขึ้นมาใกล้เคียงกับช่อง 3 และช่อง 7 และบางรายการมีเรตติ้งสูงกว่า เช่น The mask singer
ปัจจุบันราคาโฆษณาไพรม์ไทม์ของช่อง 3 และช่อง 7 มีราคาตั้งต้นอยู่ที่ประมาณ 4.5 แสนบาท/นาที ขณะที่ช่องเวิร์คพอยท์มีราคาอยู่ที่ประมาณ 1 แสนบาท/นาที ส่วนรายการ The mask singer ซึ่งถือเป็นรายการที่มีเรตติ้งสูงสุดมีราคาโฆษณาเฉลี่ยอยู่ที่ 3.8-4.2 แสนบาท/นาที เป็นเพียงหนึ่งรายการเท่านั้นที่มีราคาโฆษณาใกล้เคียงกับช่อง 3 และช่อง 7
ทั้งนี้ จากความสำเร็จในรายการต่างๆ ของช่องเวิร์คพอยท์ส่งผลให้ปัจจุบันช่องเวิร์คพอยท์สามารถมีเรตติ้งเฉลี่ยขึ้นมาอยู่ที่ 1.5 ได้สำเร็จ ซึ่งถือว่าสูงกว่าเป้าหมายเดิมที่วางไว้ทั้งปีว่าจะมีเรตติ้งเฉลี่ยที่ 1.4 และจากเรตติ้งที่ปรับเพิ่มขึ้นดังกล่าว ส่งผลให้บริษัทมีแผนที่จะปรับค่าโฆษณาขึ้นอีกประมาณ 10-20% โดยเฉพาะในช่วงไพรม์ไทม์
พร้อมกันนี้บริษัทมีแผนปรับผังรายการทุกเดือน ด้วยการนำรายการใหม่ๆ มาออกอากาศ เพื่อสร้างความสดใหม่ให้กับช่องเวิร์คพอยท์ และปรับปรุงรายการเก่าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อให้รักษาเรตติ้งซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 1.5
นอกจากนี้จะให้ความสำคัญกีบช่องทางออนไลน์ เนื่องจากปัจจุบันผู้ชมหันมาให้ความสำคัญกับสื่อออนไลน์มากขึ้น ซึ่งช่องเวิร์คพอยท์ได้พัฒนาสื่อออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการทำเฟซบุ๊กไลฟ์ ยูทูบ หรือเว็บไซต์ และในเดือนมิ.ย.นี้ จะร่วมกับพันธมิตรแพลตฟอร์มออนไลน์ให้ผู้ชมสามารถดูรายการผ่านทางออนไลน์ได้ก่อนดูผ่านหน้าจอทีวีและกลับมาดูที่ออนไลน์ได้อีกครั้ง
ด้านนักวิเคราะห์บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) แนะนำ “ซื้อ” WORK ราคาเป้าหมาย 62 บาท/หุ้น โดยคาดการณ์กำไรหลักไตรมาส 1/60 เติบโตก้าวกระโดด 190% จากปีก่อน เป็น 83 ล้านบาท และฟื้นตัวจากไตรมาส 4/59 ที่เป็นขาดทุน 72 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในช่วงการหยุดออกอากาศทีวีจากการไว้อาลัยรัชกาลที่ 9 ส่วนสาเหตุที่กลับมาเติบโตดีเทียบกับปีก่อน
เนื่องจากการปรับเพิ่มอัตราค่าโฆษณาอย่างมากเป็น 58,000-60,000 บาทต่อนาทีในไตรมาส 1/60 จากปีก่อน ที่ 45,000-46,000 บาทต่อนาที ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นไตรมาส 1/60 เพิ่มขึ้นเป็น 46% เทียบจากปีก่อนที่ 41.7% เพราะได้ประโยชน์จาก economies of scale และสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขาย-บริหารเทียบกับรายได้ไตรมาส 1/60 น้อยลงเป็น 31.0% เทียบปีที่แล้วคือ 33.1%
ขณะเดียวกันรายการที่ได้รับความนิยมสูงช่วยเพิ่มเรทติ้งในงวดไตรมาส 1/60 เช่น หน้ากากนักร้อง มีเรทติ้งสูงไปถึง 7.91%., I can see your voice Thailand มีเรทติ้ง 6.51% และ ไมค์ทองคำเด็ก มีเรทติ้ง 5.49% ดังนั้นจึงปรับค่าโฆษณาได้เป็นอย่างดี คือสูงกว่าโปรแกรมปกติไปได้มาก
ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยจึงได้มีการปรับประมาณการให้ดีขึ้นในปี 61 เพิ่มขึ้น 15% และปี 62 เพิ่ม 25% เพื่อสะท้อนการปรับขึ้นค่าโฆษณาได้มากกว่าที่คาดไว้เดิม ด้วยสมมุติฐานอัตราค่าโฆษณาใหม่ปี 60 เป็น 62,000 บาทต่อนาที และปี 61 เป็น 75,000 บาทต่อนาที จากเดิมปี 60 ที่ 60,000 บาทต่อนาที และเพิ่มขึ้นปีละ 10% ในช่วง 5 ปีถัดมา
นอกจากนี้บริษัทยังวางแผนที่จะออกรายการใหม่และ Format ใหญ่เพิ่มอีกในอนาคต เช่น We kids Thailand และ My Little TV เป็นต้น