คัด 28 หุ้นบลูชิพ P/E ต่ำ-เป้า Fund Flow ซื้อเก็บ!
ภาวะตลาดหุ้นปรับตัวลงนับตั้งแต่ยืนที่ระดับ 1,589.50 จุด (12 เม.ย.) และมายืนที่ระดับ 1,562.27 จุด (25 เม.ย.) ลดลง 27 จุด หรือลดลง 1.74% การอ่อนตัวของดัชนีส่วนหนึ่งมาจากต่างชาติขายสุทธิตลอดทั้งสัปดาห์ก่อน ประกอบกับแรงเทขายหุ้นแบงก์ที่เริ่มประกาศงบไตรมาส 1/60 อีกทั้งความกังวลปัญหาการเมืองในยุโรป บรรยากาศดังกล่าวทำให้หุ้นพื้นฐานดีปรับตัวลงแรงหลายตัว
ภาวะตลาดหุ้นปรับตัวลงนับตั้งแต่ยืนที่ระดับ 1,589.50 จุด (12 เม.ย.) และมายืนที่ระดับ 1,562.27 จุด (25 เม.ย.) ลดลง 27 จุด หรือลดลง 1.74% การอ่อนตัวของดัชนีส่วนหนึ่งมาจากต่างชาติขายสุทธิตลอดทั้งสัปดาห์ก่อน ประกอบกับแรงเทขายหุ้นแบงก์ที่เริ่มประกาศงบไตรมาส 1/60 อีกทั้งความกังวลปัญหาการเมืองในยุโรป บรรยากาศดังกล่าวทำให้หุ้นพื้นฐานดีปรับตัวลงแรงหลายตัว
ดังนั้น“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์”จึงทำการรวบรวมข้อมูลหุ้นขนาดใหญ่ใน SET50 ที่ปรับตัวลงแรงมานำเสนอ โดยคัดเลือกจากหุ้นที่มีค่า P/E Ratio (อัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรต่อหุ้น) ไม่เกิน 20 เท่า(ณ วันที่ 25 เม.ย.59) และุุถือเป็นหุ้นปลอดภัย (Defensive Stock) สำหรับการลงทุนช่วงภาวะตลาดหุ้นผันผวน ที่สำคัญยังหุ้นเป็นหุ้นพื้นฐานแกร่ง แถมเป็นหุ้นกลุ่มเป้าหมายที่ Fund Flow เข้ามาเก็บ และยิ่งในช่วงนี้กระแสเงินทุนที่ยังทะลักเข้ามาในตลาดหุ้นภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง หุ้นกลุ่มนี้จะได้รับควาามสนใจจากนักลงทุนเช่นเคย
บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า นับตั้งแต่วันที่ 25 เม.ย. กระแส Fund Flow ยังคงถาโถมเข้ามาในตลาดหุ้นภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 ด้วยมูลค่าสูงถึง 1.23 พันล้านเหรียญ (เป็นการซื้อสุทธิภายในวันเดียวที่สูงที่สุดในรอบ 2 ปี) และเป็นการซื้อสุทธิทุกประเทศ โดยเฉพาะตลาดหุ้นแถบเอเชียตะวันออก อย่างเกาหลีใต้ถูกซื้อสุทธิ 622 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 4) และไต้หวัน 448 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3)
เช่นเดียวกับตลาดหุ้นในกลุ่ม TIP คือ อินโดนีเซียถูกซื้อสุทธิ 99 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิติดต่อกันเป็นวันที่ 14) ตามมาด้วยฟิลิปปินส์ 29 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2) และไทย 33 ล้านเหรียญ หรือ 1.14 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2) ต่างกับสถาบันฯในประเทศที่ขายสุทธิราว 1.28 พันล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2)
สำหรับหุ้นที่คัดเลือกมานำเสนอและเข้าเกณฑ์ดังกล่าวมีทั้งหมด 28 ตัว ประกอบด้วย SPRC,TOP, PSH, KTB, TCAP, BCP, INTUCH, IVL, BBL, KKP, KBANK, SCB, IRPC, SCC, PTT, TMB, PTTGC, GLOW, LH, CPF, EGCO, WHA, BLA, ADVANC, GPSC, TU, DELTA และ KCE ตามตารางประกอบดังนี้
อนึ่งโดยทั่วไปหุ้นที่มี P/E ratio สูงหมายถึงว่าเรายอมจ่ายแพงกว่าเพื่อซื้อหุ้นตัวนี้เมื่อเปรียบเทียบกับหุ้นอีกตัวนึงที่มี P/E ต่ำกว่า ดังนั้นหลายคนมักจะบอกว่า หุ้นที่มี P/E ratio สูงๆ คือหุ้นที่แพง และหุ้นที่มี P/E ratio ต่ำๆ คือหุ้นที่ถูก ดังนั้น การซื้อหุ้นที่มีราคาถูก น่าจะมีโอกาสกำไรมากกว่าซื้อหุ้นที่แพง
ส่วนค่า P/BV (Price/Book Value) ตัวเลขมาตรฐานที่มักจะใช้เป็นฐานก็คือ 1 เท่า หากสามารถซื้อหุ้นที่มีค่า P/BV น้อยกว่า 1 ได้ก็หมายความว่าเราสามารถซื้อหุ้นได้ในราคาต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีของบริษัท)
สำหรับ Defensive Stock คือ หุ้นตั้งรับหรือหุ้นที่มีเสถียรภาพสูงภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย ในขณะที่ธุรกิจอื่น ๆได้รับผลกระทบในทางลบจากสภาพเศรษฐกิจที่แต่หุ้นของบริษัทที่มีการดำเนินการอยู่ในรูปแบบ Defensive จะไม่ได้รับผลมากนัก เนื่องจากยังคงมีความต้องการใช้สินค้าหรือบริการของบริษัทอย่างต่อเนื่อง ทำให้กำไรของบริษัทยังคงที่เช่นเดิม
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน