จับตา!ปันผลพิเศษ JAS พุ่งกระฉูด “พิชญ์”ประกาศไม่ประมูล 4G/5G ในอนาคต

บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ JAS เปิดเผยว่า วันนี้(27เม.ย.) ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นมีมติอนุมัติ บมจ.ทริปเปิลที บรอดแบนด์ (TTTB) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย เสนอขายทรัพย์สินเส้นใยแก้วนำแสงส่วนเพิ่ม จำนวนไม่เกิน 980,000 คอร์กิโลเมตร ให้แก่ กองทุนโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน (JASIF) โดยธุรกรรมการขายทรัพย์สินส่วนเพิ่มมีมูลค่ารวมประมาณ 5-7 หมื่นล้านบาท

และที่ประชุมผู้ถือหุ้น JAS ให้ TTTBB เช่าทรัพย์สินส่วนเพิ่มจากกองทุน JASIF เพื่อนำไปใช้ประกอบธุรกิจอินเตอร์เน็ต บรอดแบนด์ ต่อไป โดยธุรกรรมเช่าทรัพย์สินส่วนเพิ่มมีมูลค่ารวมประมาณ 34,400-59,700 ล้านบาท โดยคาดว่าจะมีระยะเวลาการเช่าประมาณ 12-15 ปี

ทั้งนี้ ในปัจจุบันระยะเวลาการเช่าของสัญญาหลักยังอยู่ในระหว่างการเจรจากับกองทุนฯ ซึ่งเป็นไปได้ว่ากองทุนฯ และ TTTBB อาจต้องทำสัญญาหลักขยายเวลาจนไปถึง 29 ม.ค.75 ซึ่งเป็นระยะเวลาสิ้นสุดของอายุของใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบที่สามของ TTTBB ที่ได้ขยายออกไป 15 ปีนับจากปัจจุบัน

ด้านที่ปรึกษาทางการเงิน JAS กล่าวว่า ดีลการขายสินทรัพย์ให้กอง JASIF คาดว่าจะเสร็จสิ้นในไตรมาส 4/60 หรืออย่างช้าไตรมาส 1/61 โดยหลังจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติในวันนี้ และที่ประชุมผู้ถือหน่วย JASIF อนุมัติด้วย จากนั้นจะยื่นไฟลิ่ง ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป

ด้านนายพิชญ์ โพธารามิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JAS กล่าวว่า บริษัทจะพิจารณาจ่ายปันผลพิเศษให้กับผู้ถือหุ้น หาก TTTB มีกำไรจากการขายสินทรัพย์เส้นใยแก้วนำแสงให้แก่ JASIF  นอกจากนั้นบริษัทจะไม่เข้าร่วมประมูลคลื่นความถี่ 4G และ 5G หากภาครัฐจะจัดขึ้นอีกในอนาคต

เพราะปัจจุบันเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็วมาก และทางบริษัทมองการเติบโตของบรอดแบนด์ยังเติบโตสูง ขณะเดียวกันบริษัทเตรียมเปิดธุรกิจ MVNO ที่เพิ่งได้ใบอนุญาต โดยเตรียมขายช่วงคลื่นความถี่ที่เน้นใช้ดาต้าซึ่ งขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับโอเปอเรเตอร์

“ผมไม่เชื่อเรื่อง Bundle เราเน้น เรื่อง service เรื่อง Broadband เราจะไม่ไปทำเคเบิลทีวี เพราะวันนี้ OTT เยอะแยะ ไม่จำเป็นต้องทำ” นายพิชญ์ กล่าว

ส่วนกำไรปีนี้คงต้องรอดูว่าหากขายสินทรัพย์ส่วนเพิ่มเข้ากองทุนโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตจัสมิน (JASIF) ทันปีนี้หรือไม่ ถ้าทันก็จะมีกำไรพิเศษเหมือนในปี 58 ที่มีจำนวนประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าการขายสินทรัพย์ครั้งนี้จะมีกำไรพิเศษใกล้เคียงกับการขายสินทรัพย์ครั้งแรก

ทั้งนี้หากบริษัทไม่มีแผนเข้าประมูลคลื่นความถี่ดังกล่าวตามที่นายพิชญ์กล่าวไว้ นั่นหมายถึงมีโอกาสที่ทางบริษัทจะไม่มีความจำเป็นต้องเก็บรายได้ส่วนใหญ่จากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนฯในครั้งนี้ไว้เพื่อลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ในอนาคต