เปิดงบฯ Q1/60 กลุ่มทีวีดิจิตอล ตัวไหนรุ่งตัวไหนรอด?

เปิดผลประกอบการไตรมาส 1/60 บริษัทจดทะเบียนในกลุ่มทีวีดิจิตอล พร้อมแนวโน้มธุรกิจในอนาคต


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ ได้ทำการสำรวจผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (บจ.) ในกลุ่มทีวีดิจิตอล หลังจากที่เริ่มทยอยประกาศงบฯออกมา สำหรับบจ.ที่ประกาศออกมาแล้วคือ NMG และMONO

โดย บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ NMG รายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 1/60 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.60 (รวมบริษัทย่อย) ขาดทุน 255.06 ล้านบาท โดยขาดทุนเพิ่มขึ้น 544% จากปีก่อนขาดทุน 39.55 ล้านบาท

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวขาดทุนเพิ่มขึ้นเนื่องจาก บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการสําหรับไตรมาสแรกของปี 2560 ลดลงร้อยละ 19 มีสาเหตหลักมาจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ และสงผลกระทบทําให้รายได้จากการขายโฆษณาลดลงร้อยละ 24 และรายได้จากการจําหน่ายสื่อสิ่งพิมพ์ลดลงร้อยละ 13 นอกจากนี้ต้นทุนและค่าใช้จ่ายสําหรับไตรมาสแรกของปี 2560 เพิ่มขึ้นร้อยละ 10

 

ขณะที่บริษัท โมโน เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ MONO รายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 1/60 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.60 (รวมบริษัทย่อย) พลิกกำไร 23.15 ล้านบาท จากปีก่อนขาดทุน 80.18 ล้านบาท

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวพลิกกำไรเนื่องจาก บริษัทมีรายได้จากการให้บริการสื่อโฆษณาในไตรมาส 1 ปี 2560 จำนวน 376.24 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 59 จำนวน 223.66 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 152.58 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 68.22 เนื่องจากการเติบโตของรายได้ธุรกิจทีวีดิจิตอลช่อง MONO29 ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ในไตรมาส 1/59 บริษัทมีค่าใช้จ่ายทางการเงินและภาษีเงินได้ และค่าใช้จ่ายทางการเงินค่อนข้างสูง

 

ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า MONO ผลประกอบการพลิกเป็นกำไร ส่วน NMG นั้น ยังมีผลขาดทุน สำหรับแนวโน้มของบริษัทในกลุ่มทีวีดิจิตอลที่ยังไม่ประกาศผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวได้แก่ WORK , RS , MCOT,GRAMMY และ BEC โดยนักวิเคราะห์ได้ทำการออกบทวิเคราะห์ โดยคาดการณ์ว่า WORK และRS จะประกาศกำไรออกมาอย่างโดดเด่น

ทั้งนี้นักวิเคราะห์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) แนะนำ “ซื้อ” WORK ราคาเป้าหมาย 62 บาท/หุ้น โดยคาดการณ์กำไรหลักไตรมาส 1/60 เติบโตก้าวกระโดด 190% จากปีก่อน เป็น 83 ล้านบาท และฟื้นตัวจากไตรมาส 4/59 ที่เป็นขาดทุน 72 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในช่วงการหยุดออกอากาศทีวีจากการไว้อาลัยรัชกาลที่ 9 ส่วนสาเหตุที่กลับมาเติบโตดีเทียบกับปีก่อน

เนื่องจากการปรับเพิ่มอัตราค่าโฆษณาอย่างมากเป็น 58,000-60,000 บาทต่อนาทีในไตรมาส 1/60 จากปีก่อน ที่ 45,000-46,000 บาทต่อนาที ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นไตรมาส 1/60 เพิ่มขึ้นเป็น 46% เทียบจากปีก่อนที่ 41.7% เพราะได้ประโยชน์จาก economies of scale และสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขาย-บริหารเทียบกับรายได้ไตรมาส 1/60 น้อยลงเป็น 31.0% เทียบปีที่แล้วคือ 33.1%

ขณะเดียวกันรายการที่ได้รับความนิยมสูงช่วยเพิ่มเรทติ้งในงวดไตรมาส 1/60 เช่น หน้ากากนักร้อง มีเรทติ้งสูงไปถึง 7.91%., I can see your voice Thailand มีเรทติ้ง 6.51% และ ไมค์ทองคำเด็ก มีเรทติ้ง 5.49% ดังนั้นจึงปรับค่าโฆษณาได้เป็นอย่างดี คือสูงกว่าโปรแกรมปกติไปได้มาก

 

ด้าน บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS นักวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (24 เม.ย.) ว่า คาดผลประกอบการของบริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS ในไตรมาส 1/60 ฟื้นตัวเป็นกำไรเล็กน้อย จากยอดขายเกือบทุกธุรกิจฟื้นตัวไตรมาสก่อนหน้า แต่กำไรปกติลดลง 75% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนจากฐานสูงในไตรมาส 1/59 ที่มีรายได้จัด Event สูงเป็นพิเศษ คงประมาณการกำไรปกติทั้งปีที่ 198 ล้านบาท กลับจากปีก่อนที่ขาดทุนหนัก ปัจจัยหนุนหลักจากการเติบโตของธุรกิจ H&B การฟื้นตัวดีขึ้นของธุรกิจทีวีดิจิตอล และนโยบายลดต้นทุนของธุรกิจเพลงและช่องทีวีดาวเทียม

ทั้งนี้ มี Upside จากเดิมที่คาดการณ์ยอดขาย H&B ที่ค่อนข้าง Conservative แต่มี Downside จากธุรกิจทีวีดิจิตอล หาก Rating รายการละครไม่กระเตื้องขึ้นตามคาด ขณะที่ราคาหุ้นมี Upside มากขึ้น เกิน 10% จากราคาเป้าหมายปี 60 ที่ 10.00 บาท จึงปรับคำแนะนำขึ้นจากเดิม ถือ เป็น ซื้อ โดยเฉพาะหลังประกาศงบ ไตรมาส 1/60 ที่คาดลดลงมาก เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนดังกล่าว

 

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้นเป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำหรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตามล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button