เฟ้น 7 หุ้นเม่าเล่นไม่เลิก! โชว์ 4 เดือนฟันรีเทิร์นเกิน 50%

ราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์(SET) ในรอบ 4 เดือนที่ผ่านมา โดยเทียบราคาปิด ณ วันที่ 30 ธ.ค.59-28 เม.ย.60 ซึ่งจะขอนำเสนอหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงเกิน 50% โดยครั้งนี้มีหุ้นเข้ามาติดเกณฑ์ดังกล่าว 7 อันดับ คือ AMANAH,RCI,GIFT,GREEN,ECL,KWG และ SMIT


ทิศทางตลาดหุ้นไทยในรอบ 4 เดือนที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นเพียง 1.52% โดยเทียบจากดัชนีอยู่ที่ระดับ 1,542.94 จุด (30 ธ.ค. 59) มาอยู่ที่ 1,566.32 จุด ( 28 เม.ย.60) หรือบวกไป 23.38 จุด เนื่องจากภาวะตลาดหุ้นเดือนเมษายนไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาหนุนโดดเด่น ประกอบกับเป็นช่วงวันหยุดยาว และนักลงทุนบางส่วนเฝ้าจับตาการแจ้งงบไตรมาส 1/60  และเป็นช่วงประกาศจ่ายปันผลและขึ้น XD

นอกจากนี้ยังมีความไม่แน่นนอนในภาพเศรษฐกิจมหภาคของโลก ทั้งจากแผนการปฏิรูปเศรษฐกิจสหรัฐ และการเลือกตั้งในฝรั่งเศส  อีกทั้ง EPS ของตลาดหุ้นไทยที่โตต่ำเมื่อเทียบกับตลาดอื่นในเอเชีย ทำให้ตลาดไทยไม่น่าสนใจ และทำให้เม็ดเงินจากต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นไม่มากในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตามภาวะดังกล่าวแม้จะไม่สดใสมากนัก แต่ก็ยังมีหุ้นทำโชว์ผลงานได้โดดเด่นกว่าภาวะตลาดฯ ดังนั้น“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการสำรวจราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์(SET) ในรอบ 4 เดือนที่ผ่านมา โดยเทียบราคาปิด ณ วันที่ 30 ธ.ค.59-28 เม.ย.60 ซึ่งจะขอนำเสนอหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงเกิน 50% โดยครั้งนี้มีหุ้นเข้ามาติดเกณฑ์ดังกล่าว 7 อันดับ คือ AMANAH,RCI,GIFT,GREEN,ECL,KWG และ SMIT

โดยอันดับ 1 บริษัท อะมานะฮ์ ลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ AMANAH ปรับตัวขึ้นแรง 148.89% มาอยู่ที่ระดับ 2.24 บาท (28 เม.ย.60) บวก 1.34 บาท จากระดับ 0.90 บาท(30 ธ.ค. 59) ราคาหุ้นปรับตัวแรงเนื่องจากหุ้นมีราคาถูกและง่ายต่อการดันราคา ประกอบกับในช่วงดังมีปัจจัยบวกบริษัทประกาศงบปี 59 พลิกมีเป็นกำไร 31.44 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ขาดทุน 136.41 ล้านบาท ทำให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรหุ้นอย่างคึกคัก อย่างไรก็ตามแม้ราคาหุ้นจะปรับตัวแรงนักลงทุนควรระวังแรงขายทำกำไร เนื่องจาก หุ้น AMANAH ยังติด Cash Balance ตั้งแต่ 3 เม.ย.-12 พ.ค.

 

อันดับ 2 บริษัท โรแยล ซีรามิค อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ RCI  ปรับตัวขึ้นแรง 71.07% มาอยู่ที่ระดับ 4.14 บาท (28 เม.ย.60) บวก 1.72 บาท จากระดับ 2.42 บาท(30 ธ.ค. 59) ราคาหุ้นปรับตัวแรงเนื่องจากมีกระแสข่าวว่ากลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทได้มีการเจรจาขายหุ้นให้ บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด โดยราคาที่เข้ามาถือหุ้นอยู่ที่ประมาณ 4 บาท ทำให้มีแรงซื้อเก็งกำไรเข้ามาอย่างคึกคัก

ประกอบผลการดำเนินงานปี 59 ขาดทุนลดลงเหลือ 31.20 ล้านบาท จากปี 58 ขาดทุนอยู่ที่ 69.43 ล้านบาท ยิ่งทำให้นักลงทุนเชื่อว่าธุรกิจบริษัทจะพลิกฟื้นอีกครั้ง อีกทั้งช่วงที่ผ่านโบรกเกอร์แนะนำให้เข้าลงทุนยิ่งเป็นแรงหนุนให้หุ้นปรับตัวขึ้นแรงอีกทาง

ล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทอนุมัติงบประมาณโครงการลงทุนขยายกำลังการผลิตจำนวนเงิน 295 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงและเพิ่มกำลังการผลิตจากเดิม 2.2 แสนตารางเมตร (ตร.ม.) ต่อเดือน เป็น 1 ล้านตร.ม.ต่อเดือน ซึ่งจะเริ่มโครงการปรับปรุงในเดือนพ.ค.60

ขณะที่ผลงานไตรมาส 1/60 พลิกขาดทุนสุทธิ 177.51 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไร 3.69  ล้าน  เนื่องจากภาวะการแข่งขันทางตลาดที่รุนแรง และบริษัทมีการปรับเปลี่ยนการบริหารงานและการขายภายในบริษัท อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มขึ้น

 

อันดับ 3 บริษัท แกรททิทูด อินฟินิท จำกัด (มหาชน) หรือ GIFT  ปรับตัวขึ้นแรง 67.95% มาอยู่ที่ระดับ 6.55 บาท (28 เม.ย.60) บวก 2.65บาท จากระดับ 3.90 บาท(30 ธ.ค. 59) ราคาหุ้นปรับตัวแรง เนื่องจากหุ้นมีพื้นฐานที่น่าสนใจเห็นได้จากการสร้างผลกำไรที่โดดเด่นและต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 56-ปัจจุบัน

ขณะเดียวกันในช่วงที่ผ่านมากองทุนใหญ่ “TEMPLETON” ได้เข้ามาถือหุ้น 10 ล้านหุ้น หรือ 3.3% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด บวกกับโบรกเกอร์หลายสำนักออกบทวิเคราะห์แนะนำให้เข้าลงทุน ตรงนี้ยิ่งเป็นแรงหนุนให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นตลอด 4 เดือนที่ผ่านมา

บล.เออีซี ระบุในบทวิเคราะห์ว่า GIFT มีความโดดเด่นทางธุรกิจ เพราะขายเคมีที่ใช้ในส่วนผสมของใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น แชมพู เครื่องสำอาง ครีม สบู่ และอีกไม่น้อย รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่เป็นส่วนผสมของอาหาร  เครื่องดื่ม  โดยในปี 60 จะขยายธุรกิจด้านความงาม ไม่ว่าจะเป็นสบู่ลดสิว คอลลาเจน ประเภทเหล่านี้  นักวิเคราะห์ประเมินว่าผลงานในปี 60 จะขยายตัวโดดเด่นจากการกระจายตัวของโครงสร้างรายได้มากมาย  ถือว่าน่าสนใจอย่างมาก นอกจากนี้ งบการเงินถือว่าแข็งแกร่ง มีหนี้สินต่ำ

 

อันดับ 4 บริษัท กรีน รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) หรือ GREEN  ปรับตัวขึ้นแรง 61.90% มาอยู่ที่ระดับ 1.70 บาท (28 เม.ย.60) บวก 0.71 บาท จากระดับ 1.05 บาท(30 ธ.ค. 59) ราคาหุ้นปรับตัวแรง เนื่องจากหุ้นมีราคาถูกและง่ายต่อการดันราคา อย่างไรก็ตามราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงอาจเสี่ยงต่อแรงขายทำกำไรได้ เนื่องจากพื้นฐานบริษัทยังประสบผลขาดทุนต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 56-ปัจจุบัน

 

อันดับ 5 บริษัท ตะวันออกพาณิชย์ลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ ECL  ปรับตัวขึ้นแรง 60.49% มาอยู่ที่ระดับ 2.60 บาท (28 เม.ย.60) บวก 1.54 บาท จากระดับ 1.62 บาท (30 ธ.ค. 59) ราคาหุ้นปรับตัวแรงเนื่องจากเป็นหุ้นราคาถูกจึงง่ายต่อการดันราคาจึงทำให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรกันอย่างคึกคัก

 

อันดับ 6 บริษัท คิง ไว กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KWG  ปรับตัวขึ้นแรง 59.85% มาอยู่ที่ระดับ 4.38 บาท (28 เม.ย.60) บวก 1.64 บาท จากระดับ 2.74 บาท (30 ธ.ค. 59) ราคาหุ้นปรับตัวแรงส่วนใหญ่ได้ประเด็นข่าวเรื่องการเพิ่มทุน 704,000,000 หุ้น ให้ผู้ถือหุ้นเดิมในอัตรา 1 หุ้นเดิม : 3.20 หุ้นใหม่ ราคาจองซื้อ 2.63 บาท/หุ้นได้สำเร็จ และจะเปิดขายคอนโดมิเนียม 2 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 5 พันล้านบาท ช่วยให้บริษัทมีโอกาสจะหลุดพ้นกรณีที่อาจจะต้องเข้าแผนฟื้นฟูทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงในช่วงดังกล่าว

สำหรับหุ้นเพิ่มทุนของ KWG จำนวน 704,000,000 หุ้น ได้เข้าซื้อขายเมื่อวันที่ 18 เม.ย.60  โดยหุ้นเพิ่มทุนได้จัดสรรให้ผู้ถือหุ้นเดิมในอัตรา 1 หุ้นเดิม : 3.20 หุ้นใหม่ ราคาจองซื้อ 2.63 บาท/หุ้น และจัดสรรให้บริษัท ทอมโม (ประเทศไทย) จำกัด 355,731,019 หุ้น ในราคาเสนอขาย 2.63 บาท/หุ้น

 

อันดับ 7 บริษัท สหมิตรเครื่องกล จำกัด (มหาชน) หรือ SMIT ปรับตัวขึ้นแรง 50.74% มาอยู่ที่ระดับ 6.18 บาท (28 เ.ม.ย.60) บวก 2.70 บาท จากระดับ 4.08 บาท (30 ธ.ค. 59) ราคาหุ้นที่ปรับตัวแรงเนื่องจากพื้นฐานสดใส ทำให้โบรกฯเกอร์แนะนำให้เข้าลงทุน

บล.เออีซี แนะนำหุ้น SMIT โดยมองแนวโน้มผลการดำเนินงานปีนี้เติบโตโดดเด่นอย่างมาก เนื่องจากได้งานใหม่เข้ามาหลายด้าน รวมทั้งธุรกิจเพิ่มเติมใหม่ ๆ ที่จะทำให้โอกาสทุบสถิติสูงกว่ารอบแรกที่ประเมินไป และอัตรากำไรค่อนข้างสูงกว่าระดับ 10% จากปีก่อนที่ทำให้ 9.5%  เครื่องทำน้ำแข็ง เครื่องแยกขยะ เครื่องตัดวัสดุ และธุรกิจใหม่เกี่ยวกับเหล็กเกรดพิเศษด้านอากาศยาน จะทำให้กำไรกระฉูดอย่างมาก

สำหรับด้านงบการเงินที่แทบไม่มีหนี้  กำไรสะสมมาก  มีโอกาสจ่ายปันผลมาก ถือเป็นหุ้นที่ซ่อนมูลค่า และมีคุณภาพอย่างแท้จริง หากประเมินว่ากำไรปีนี้แตะ 2.5 พันล้านบาท ขณะที่กราฟกำลังม้วนตัวขึ้นสูงสุดในรอบ 4 ปี และเดินหน้าต่อไปมีแนวต้านสำคัญที่ 6.00 บาท

 

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button