TISCO จ่ออวดกำไร Q2 โตทะลัก-ปันผลแจ่ม ตั้งสำรองลดฮวบ!
TISCO จ่ออวดกำไร Q2 โตทะลัก ตามยอดปล่อยสินเชื่อรถพุ่ง ขณะที่ dividend yield สูงถึง 5-6% ช่วยจูงใจในการเข้าลงทุน หลังมีแนวโน้มตั้งสำรองลดฮวบ!
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจข้อมูลบทวิเคราะห์ของบริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO หลังใกล้เข้าสู่เทศกาลประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/60 ของกลุ่มสถาบันการเงิน และนักวิเคราะห์จากหลากหลายสำนักต่างมองว่า กำไรในไตรมาส 2/60 ของ TISCO จะสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง หลังแนวโน้มการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญฯ ลดลง
ขณะที่ยอดขายรถที่เพิ่มขึ้นจะช่วยหนุนให้ยอดการปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นสูงตามไปด้วย โดย TISCO มีพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์เป็นสัดส่วนมากถึง 60% อีกทั้งยังมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (dividend yield) ระดับที่สูงจูงใจการลงทุนด้วย ขณะที่ P/E ณ วันที่ 27 มิ.ย.60 อยู่ที่ 11.80 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าค่า P/E ของตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET)
โดยราคาหุ้น TISCO ปิดตลาดวานนี้ ( 28 มิ.ย.) อยู่ที่ 77.50 บาท บวก 0.25 บาท หรือ 0.32% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 291.75 ล้านบาท ขณะที่ราคาหุ้นยังมีอัพไซด์จากราคาเป้าหมายสูงสุดที่นักวิเคราะห์ให้ที่ 86 บาท อยู่ 10.96%
โดย บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า กลุ่มธนาคารเตรียมประกาศงบไตรมาส 2/60 กลางก.ค. โดยหลังกลางเดือน ก.ค. ถือเป็นจุดสำคัญของตลาด เนื่องจากจะเริ่มมีมุมมองของนักวิเคราะห์ในการปรับเพิ่มหรือลดกำไรของกลุ่มธนาคารพาณิชย์และอื่นๆ (Earning momentum ratio) รวมทั้งแนวโน้มอัตราการทำกำไรของตลาดในปีนี้ (EPS growth) ว่าจะดีขึ้นหรือแย่ลง หากออกมาในเชิงดีขึ้น ดัชนีน่าจะขึ้นไปที่ 1620-1630+/- จุด
ขณะที่นักวิเคราะห์ บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำซื้อ TISCO ให้ราคาเป้าหมาย 86 บาทต่อหุ้น โดยคาดว่า TISCO จะมีกำไรสุทธิในไตรมาส 2/60 ที่ 1.44 พันล้านบาท เติบโต 19% จากงวดปีก่อน ผลักดันจากการตั้งสำรองที่ลดลง แต่คาดกำไรสุทธิลดลง 3% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากการลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียม เพราะในไตรมาส 1/60 มีรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจวาณิชธนกิจ (IB) รวมถึงคาดรายได้ดอกเบี้ยลดลงเล็กน้อยตามสินเชื่อที่ยังลดลง
สำหรับในไตรมาส 3/60 คาดกำไรสุทธิเติบโตเมื่อเทียบกับงวดปีก่อน และไตรมาสก่อน จากการตั้งสำรองที่ลดลง นอกจากนี้ คาดว่าสินเชื่อทีมีผลตอบแทนสูงอย่าง consumer loan จะเติบโตดีขึ้น จากปัจจัยบวกเหล่านี้คาดจะสามารถชดเชยการค่อยๆ ลดลงของ NIM ตามต้นทุนเงินทุนทีเพิ่มขึ้นได้
ขณะที่คุณภาพสินทรัพย์ของ TISCO ที่ยังดีต่อเนื่องสวนทางกับภาพรวมของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ประกอบกับ คาดว่าผลประกอบการจะเติบโตได้โดดเด่นเมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีก่อน ในทุกไตรมาสที่เหลือของปี ทำให้คาดว่า TISCO จะมีกำไรสุทธิในปี 60 เติบโตเด่นที่สุดในกลุ่มด้วยอัตราเติบโต 20% จากปีก่อน รวมถึงยังมี dividend yield ที่สูงถึง 5-6% ด้วย
ส่วนนักวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำซื้อ TISCO ให้ราคาเป้าหมาย 83 บาทต่อหุ้น โดยแนวโน้มกำไรสุทธิของ TISCO ในช่วงไตรมาส 2/60 จะอยู่ที่ 1.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 2.1% เมื่อเทียบช่วงไตรมาส 1/60
โดยกำไรที่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการตั้งสำรองที่ลดลง คาดว่าจะช่วยหนุนให้กำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 3 พันล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 49% ขของประมาณการรวมทั้งปีนี้ที่ระดับ 6 พันล้านบาท
ทั้งนี้ ยอดขายรถยนต์ในประเทศตั้งแต่ต้นปีนี้ นับว่าเติบโตได้ในระดับที่ค่อนข้างดีเป็นครั้งแรกในรอบ 4-5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยผลักดันพอร์ตเช่าซื้อรถยนต์ของ TISCO ให้เติบโตได้ดี ขณะที่ TISCO มีพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์เป็นสัดส่วนมากถึง 60%
ด้านนักวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำซื้อ TISCO ให้ราคาเป้าหมาย 83 บาทต่อหุ้น โดยมองว่า TISCO น่าจะยังคงรักษาระดับผลประกอบการในไตรมาส 2/60 ในระดับที่ดีไว้ได้ แม้ว่าสินเชื่อในพ.ค.จะหดตัว และผลักดันให้สินเชื่อในไตรมาส 2/60 หดตัวลงด้วย
อย่างไรก็ตาม ในพ.ค.TISCO กลับมีเงินฝากและเงินกู้ยืมเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้สัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก และเงินกู้ยืมลดลงจาก 100% ในเม.ย.เหลือ 96% แต่คาดว่า TISCO จะสามารถรักษาระดับค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยไว้ได้ จากต้นทุนทางการเงินที่ลดต่ำลง และการที่สถานการณ์หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่ดีขึ้นต่อเนื่อง จะทำให้ TISCO ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตั้งสำรองจำนวนมาก
ขณะที่ราคาหุ้น TISCO ที่ลดลงมากในช่วงก่อนหน้านี้น่าจะมาจากความกังวลเกี่ยวกับการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัท เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ จำกัด (มหาชน) หรือ EARTH แต่จากการตรวจสอบของทางฝ่าย TISCO ไม่ได้มีการปล่อยสินเชื่อให้กับ EARTH แต่อย่างใด
ดังนั้น บล.ฟิลลิป จึงยังคงประมาณการกำไรปี 60 ไว้ที่ 6.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากปีก่อน และมีปันผลโดดเด่นที่ 4.50 บาท หรือมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลระดับ 5.8%