เปิดราคาหุ้น SET50 ครึ่งปีแรก”ตัวไหนเด่น-ตัวไหนดับ”
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ใน SET50 ในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา โดยเทียบราคาปิด ณ วันที่ 30 ธ.ค.59-31 พ.ค.60 ซึ่งพบว่าหุ้นส่วนใหญ่ราคาปรับตัวขึ้นมากกว่าลง
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ใน SET50 ในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา โดยเทียบราคาปิด ณ วันที่ 30 ธ.ค.59-31 มิ.ย.60 ซึ่งพบว่าหุ้นส่วนใหญ่ราคาปรับตัวขึ้นมากกว่าลง โดยหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมีทั้งหมด 25 ตัว และมีหุ้นปรับตัวลดลง 22 ตัว ส่วนอีก 3 ตัวราคาหุ้นไม่เปลี่ยนแปลง
โดยดัชนีตลาดหลักทรัพย์ SET ในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมาปรับตัวขึ้น 2.06% โดยเทียบจากดัชนีอยู่ที่ระดับ 1,542.94 จุด (30 ธ.ค. 59) มาอยู่ที่ 1,574.74 จุด ( 30 มิ.ย.60) หรือบวกไป 31.80 จุด ส่วนดัชนี SET50 ในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมาปรับตัวขึ้น 2.20% จากดัชนีที่ยืนอยู่ที่ระดับ 964.84 จุด (30 ธ.ค. 59) มาอยู่ที่ 994.35 จุด ( 30 มิ.ย.60) หรือบวกไป 29.51จุด
สำหรับหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 25 ตัว ประกอบด้วย DTAC ,CPN,KKP,ADVANC,AOT,SPRC,BBL,INTUCH,IVL,MINT,KBANK,IRPC,TMB,TOP,PTTGC, EGCO,WHA,DELTA,KTB, TCAP,LH,SCB,SCC,TU และ CPALL ขณะเดียวกันหากสังเกตหุ้นที่ปรับตัวขึ้นจะพบว่ามีหุ้นถึง 20 ตัวที่ให้ผลตอบแทนชนะตลาดฯ
ส่วนหุ้นที่ปรับตัวลดลงมีทั้งหมด 22 ตัว อาทิ GLOW,PTT,BTS,PSH,GPSC,CENTEL,BH,HMPRO,CK,TPIPL, ROBINS,CBG,PTTEP,KCE, BANPU,THAI,CPF,BLA,BDMS,BA, GLOBAL และ PTG โดยหุ้นดังกล่าวแม้จะปรับตัวลดลง แต่หากมองอีกด้านหนึ่งถือเป็นโอกาสดีที่นักลงทุนจะได้เก็บหุ้นพื้นฐานแกร่งราคาถูก เพราะอย่าลืมว่าหุ้นดังกล่าวยังทำกำไรได้ดีและเป็นที่สนใจสำหรับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
อย่างไรก็ตามการเสนอข้อมูลหุ้น SET50 ครั้งนี้ไม่สามารถนำเสนอข้อมูลให้นักลงทุนได้ทราบทุกตัว ดังนั้นครั้งนี้จะขอนำเสนอหุ้นปรับตัวขึ้นแรงในรอบ 6 เดือนเพียง 5 อันดับแรกเท่านั้นดังตารางประกอบดังต่อไปนี้
โดยอันดับ 1 บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC ราคาหุ้นในรอบ 6 เดือนเพิ่มขึ้น 39.07% มาอยู่ที่ระดับ 52.50 บาท(30 มิ.ย.) บวกไป 14.75 บาท จากระดับ 37.75 บาท (30 ธ.ค.59) ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรง เนื่องจากได้แรงหนุนจากการได้รับเลือกเป็นพันธมิตรคลื่น 2300 MHz ของทีโอทีทำให้นักลงทุนเข้ามาไล่ราคาอย่างคึกคัก
โดยเมื่อวันที่ 24 พ.ค.ที่ผ่านมาบริษัทได้รับหนังสือจากบมจ.ทีโอที ที่แจ้งว่าคณะกรรมการของทีโอที ได้มีมติเห็นชอบให้ทีโอทีดำเนินการให้มีการทำสัญญากับกลุ่มบริษัทในการเป็นคู่ค้าให้บริการไร้สายบนโครงข่ายคลื่นความถี่ 2300 เมกะเฮิร์ตซ์ (MHz) ซึ่งกลุ่มบริษัทจะเข้าดำเนินการเจรจาสัญญาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับทีโอที และคาดว่าจะเจรจาได้ข้อยุติและเข้าทำสัญญาได้ภายในไตรมาส 4/60 นอกจากนี้บทวิเคราะห์ส่วนใหญ่แนะนำให้เข้าลงทุนจึงทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นแรงในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา
อันดับ 2 บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ราคาหุ้นในรอบ 6 เดือนเพิ่มขึ้น 22.03% มาอยู่ที่ระดับ 69.25 บาท (30 มิ.ย.60) บวกไป 12.50 บาท จากระดับ 56.75 บาท (30 ธ.ค.59) ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรง เนื่องจากหุ้นพื้นฐานแกร่ง ประกอบกับแผนงานที่ออกมาอย่างโดเด่น อีกทั้งนักวิเคราะห์แนะนำให้เข้าลงทุนช่วงดังกล่าวทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุใบทวิเคราะห์ แนะ “ซื้อ” CPN ด้วยราคาพื้นฐาน 70 บาท เนื่องจากกำไรสุทธิไตรมาส 1/60 เพิ่มได้ดี 16% จากปีก่อน สืบเนื่องจากรายได้ค่าเช่าที่โตขึ้น และสามารถบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แนวโน้มธุรกิจเป็นบวกต่อเนื่อง ในครึ่งหลังปีนี้ จะมีการเปิดศูนย์การค้าใหม่อีก 3 แห่ง อีกทั้งวางแผนที่จะขายสินทรัพย์เพิ่มไปยัง CPNRF ได้แก่ เซ็นทรัล เฟสติวัล พัทยา บีช ในครึ่งหลังปีนี้ ซึ่ง CPNRF จะเปลี่ยนเป็น REIT แล้ว ในช่วงเวลานั้น
อันดับ 3 ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) หรือ KKP ราคาหุ้นในรอบ 6 เดือนเพิ่มขึ้น 21.19% มาอยู่ที่ระดับ 71.50 บาท (30 มิ.ย.) บวกไป 12.50 บาท จากระดับ 59.00 บาท (30ธ.ค.) ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรง เนื่องจากหุ้นพื้นฐานแกร่งที่สำคัญเป็นหุ้นปันผลดีทำให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนต่อเนื่อง อีกทั้งนักวิเคราะห์แนะนำให้เข้าลงทุน ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา
บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาด KKP จะรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/60 มีความโดดเด่นทั้งสินเชื่อและการเติบโตของกำไรเมื่อเทียบกับกลุ่ม โดยคาดสินเชื่อ +3%YTD (VS กลุ่มโต <1%) และกำไรสุทธิที่ +5% เทียบไตรมาสก่อนหน้า, +24% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน (VS กลุ่มชะลอตัวทั้งเทียบไตรมาสก่อนหน้า,เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) พร้อมกันนี้ได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 60 ขึ้น 4% เป็น 6.1 พันลบ. (+10% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) เพื่อสะท้อนสินเชื่อที่ดีกว่าคาดและ CoF ที่น่าจะปรับขึ้นได้ช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ทำให้ KKP น่าจะรักษา Spread ได้ในระดับสูงใกล้กับปีก่อน
ประมาณการดังกล่าวยังมี Upside จากรายได้จากงาน IB และกำไรจาก NPA ภายหลังการปรับเพิ่มประมาณการ สังเกตว่า ROE จะขึ้นสูงสุดมาอยู่ที่ ~ 15% สูงสุดในรอบ 12 ปี เราปรับราคาเหมาะสมขึ้น เป็น 77 บาท (จากเดิม 74 บาท) แม้ว่าราคามี Upside ต่ำกว่า 10% แต่คาดหวังอัตราผลตอบแทนเงินปันผล 8.8% ต่อปี จึงแนะนำ ซื้อ
อันดับ 4 บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ราคาหุ้นในรอบ 6 เดือนเพิ่มขึ้น 20.75% มาอยู่ที่ระดับ 177.50 บาท(30 มิ.ย.60) บวกไป 30.50 บาท จากระดับ 147.00บาท (30 ธ.ค.59) ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรง เนื่องจากหุ้นพื้นฐานแกร่งที่สำคัญเป็นหุ้นปันผลดีทำให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนต่อเนื่อง ประกอบกับแผนงานที่ออกมาอย่างโดเด่น อีกทั้งนักวิเคราะห์แนะนำให้เข้าลงทุนช่วงดังกล่าวทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา
บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้จากการให้บริการปีนี้เติบโตราว 4-5% (ไม่ร่วมค่าเชื่อมโยงโครงข่าย) ตามการพัฒนาโครงข่ายให้มีคุณภาพมากขึ้น และอัตราการใช้สมาร์ทโฟนที่สูงขึ้น ขณะที่ตั้งเป้าอัตรากำไร EBITDA จะอยู่ที่ 42-44% เป็นไปตามรายได้ที่เติบโต และการควบคุมต้นทุน รวมถึงรับรู้ค่าใช้จ่ายสัญญาการเป็นพันธมิตรกับทีโอที
พร้อมกันนี้ วางงบลงทุนราว 4-4.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนการขยายโครงข่ายและการจัดทำโปรโมชั่นของธุรกิจมือถือ ส่วนราว 5,000 ล้านบาทจะใช้สำหรับการขยายบริการ เอไอเอส ไฟเบอร์ ให้ครอบคุลมมากขึ้นในบริเวณที่มีความต้องการใช้งานสูง
อันดับ 5 บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ราคาหุ้นในรอบ 6 เดือนเพิ่มขึ้น 18.72% มาอยู่ที่ระดับ 180.00 บาท(30 มิ.ย.60) บวกไป 7.45 บาท จากระดับ 39.80 บาท (30 ธ.ค.59) ) ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรง เนื่องจากหุ้นพื้นฐานแกร่ง แถมมีแผนงานลงทุนเข้ามาหนุนต่อเนื่องทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา
บล. ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า AOT การปรับเพิ่มค่าเช่าที่ดินจากกรมธนารักษ์ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด ส่งผลบวกกับ AOT ที่ออกมาล่าสุดคือ สำหรับสนามบินสุวรรณภูมิคิดที่ 5% จากรายได้ และคิดในส่วนธุรกิจที่ไม่ใช่การบิน (non-aeronautic) ตามอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (ROA) โดยรวมแล้วตัวเงินจะไม่เกิน 500 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้าที่ 800 ล้านบาท ซึ่งอาจผลักภาระบางส่วนให้ผู้เช่าได้ด้วย ขณะที่การคิดแบบส่วนแบ่งรายได้จะใช้เฉพาะสนามบินดอนเมืองและอีก 4 สนามบินที่ต่างจังหวัด
การแข่งขันที่รุนแรงในการได้ทำธุรกิจร้านค้าปลอดภาษี (duty free) ในสนามบิน คาดว่าจะช่วยเพิ่มส่วนแบ่งรายได้ให้กับ AOT สำหรับในส่วนพื้นที่ใหม่จะมีการเปิดประมูลในช่วงต้นปีหน้า รวมทั้งในส่วนสัมปทานปัจจุบันที่คิงเพาเวอร์ได้ทำอยู่ก็จะหมดอายุลงในเดือน ก.ย. 2563
คงคำแนะนำ ซื้อ แม้ได้มีการปรับประมาณการปีนี้และปีหน้าลดลง 2%/1% ตามลำดับ สะท้อนค่าเช่าที่เพิ่มขึ้น แต่ราคาพื้นฐานใหม่ปรับเพิ่มเป็น 55.00 บาท ด้วยการเปลี่ยนปีที่ใช้ประเมินเป็นปี 61 จากเดิมปี 60 ใช้วิธี DCF ในการประเมิน (WACC 10.1%, terminal growth 3%) ราคาพื้นฐานใหม่มีส่วนเพิ่มได้อีก 16%
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน