RS ฮ็อต! 1เดือนราคาพุ่ง50% รับธุรกิจBeautyดันทั้งปีเทิร์นอะราวด์
RS ฮ็อต! 1 เดือนราคาพุ่ง 50% รับธุรกิจความงามและสุขภาพโตก้าวกระโดดดันทั้งปีเทิร์นอะราวด์ ผู้บริหารมั่นใจปี 61 ก้าวขึ้นเป็นธุรกิจหลักโดยสมบูรณ์ ฟาก โบรกฯ ชี้ธุรกิจความงานและสุขภาพโตเร็วกว่าคาด แนวโน้มยังคงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจข้อมูลบทวิเคราะห์ของบริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS หลังจากสังเกตเห็นว่า ในระยะเวลาประมาณ 1 เดือน ราคาหุ้น RS ปรับตัวขึ้นสูงถึง 49.46% นับตั้งแต่ราคาอยู่ที่ระดับ 9.30 บาท เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.60
ขณะที่ราคาหุ้นวานนี้ (6 มิ.ย.) ปิดที่ 13.90 บาท ปรับตัวขึ้น 0.90 บาท หรือ 6.92% ด้านมูลค่าซื้อขาย 330.86 ล้านบาท โดยราคาหุ้นยังมีอัพไซด์จากราคาเป้าหมายที่นักวิเคราะห์ให้ที่ 17.30 บาท อยู่ 24.46%
สำหรับปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาหุ้น RS ปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของธุรกิจสุขภาพและความงาม และในปี 61 มีแนวโน้มว่าธุรกิจดังกล่าวจะกลายเป็น 1 ในธุรกิจหลักของกลุ่มอาร์เอสโดยสมบูรณ์แบบ หลังคาดว่าสัดส่วนรายได้จะปรับขึ้นมาใกล้เคียงกับธุรกิจสื่อ ด้านนักวิเคราะห์ได้ปรับคำแนะนำและราคาเป้าหมายขึ้น ซึ่งมองว่าธุรกิจสุขภาพและความงามจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะช่วยส่งเสริมให้กำไรของ RS กำไรเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยในปีนี้คาดว่าผลการดำเนินงานของ RS จะพลิกกลับมามีกำไรได้
โดยนักวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ ปรับคำแนะนำ RS ขึ้นจาก “ถือ” เป็น “ซื้อ” จากธุรกิจดิจิตอลทีวีที่ดีขึ้นจากเรตติ้งรายการกีฬาและข่าวที่มีเรตติ้งสูงทำให้สามารถปรับราคาค่าโฆษณาเพิ่มขึ้นได้และธุรกิจ Health & Beauty ที่เติบโตเร็วกว่าที่คาด และปรับเพิ่มราคาเป้าหมายใหม่ปี 61 เป็นอยู่ที่ 17.30 บาทต่อหุ้น (อ้างอิงวิธี DCF สมมติฐาน WACC 8%, Terminal growth 2%) โดยได้รวม dilution effect จาก RS-W3 แล้วด้วยการเฉลี่ยการใช้สิทธิ 3 ปี สำหรับราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ PER18F อยู่ที่ 38.6X เทียบเท่า PEG18F อยู่ที่เพียง 0.5x (EPS growth18F ที่ 72%)
โดยคาดว่ากำไรปกติไตรมาส 2/60 อยู่ที่ 64 ล้านบาท พลิกจากไตรมาส 2/59 ที่ขาดทุน 85 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/60 กำไรปกติที่ 11 ล้านบาท หรือโต 479% เทียบไตรมาสก่อน และคาดว่ารายได้รวมเพิ่มขึ้น 27% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังธุรกิจดิจิตอลทีวีมีการปรับอัตราค่าโฆษณาที่เพิ่มขึ้น 36% อยู่ที่ 30,000 บาท/นาที จากรายการที่มีเรตติ้งสูง ได้แก่ รายการข่าวและรายการกีฬามวย
สำหรับธุรกิจสุขภาพและความงานเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดอยู่ที่ 300 ล้านบาท จากไตรมาส 2/59 ที่ 53 ล้านบาท และจากไตรมาส 1/60 ที่ 199 ล้านบาท จากประสบความสำเร็จจากการปรับกลยุทธ์การขายใหม่เน้นขายผ่านเทเลเซล (call center) ด้านอัตรากำไรขั้นต้นคาดเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 39% จาก 24% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 32% เทียบกับไตรมาสก่อน เนื่องจากสัดส่วนรายได้ H&B ที่มีมาร์จิ้นสูงกว่าธุรกิจมีเดีย
ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายอยู่ที่ 29% ลดลงจาก 37% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการลดค่าใช้จ่ายการทำการตลาดโฆษณาของธุรกิจ H&B หลังจากเน้นการขายผ่านเทเลเซลมากขึ้นและสินค้าเริ่มเป็นที่รู้จักแล้ว จึงคาด EBITDA margin เพิ่มขึ้นไตรมาส 2/60 อยู่ที่ 26% จาก 4% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 24% เทียบกับไตรมาสก่อน
นอกจากนี้ยังปรับประมาณกำไรสุทธิปี 60-62 เพิ่มขึ้นจากคาดการณ์เดิม 14% และ 28% และ 24% ตามลำดับ โดยคาดรายได้ธุรกิจ Health & Beauty เพิ่มขึ้นเป็นหลัก คาดรายได้ปีนี้อยู่ที่ราว 1,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 59 ซึ่งอยู่ที่ 228 ล้านบาท โดยยอดขายปัจจุบันอยู่ที่เฉลี่ยประมาณเดือนละ 120 ล้านบาท และคาดปี 61-62 เติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 30% จากการใช้กลยุทธ์การขายใหม่และวางเป้าหมายการเพิ่มจำนวนสินค้า SKU เพิ่มขึ้น รวมถึงจำนวน partner ที่เพิ่มขึ้น
ส่วนของธุรกิจมีเดียปรับประมาณการลงจากคาดการณ์เดิมโดยคาด U.rate ปี 60 จะอยู่ที่ 55% จากคาดเดิมที่ 65% เนื่องจากช่วงพระราชพิธีถวายพระเพลิงศพพระบรมศพ รัชกาลที่ 9 ในช่วง ต.ค.17 คาดงดการโฆษณา 2 สัปดาห์
อย่างไรก็ตามรายได้ธุรกิจมีเดียยังมีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้นได้ราว 10% จากการปรับการขึ้นค่าโฆษณาขึ้นเฉลี่ย 36% สำหรับอัตรา Gross margin เฉลี่ยในปี 60-62 คาดเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 38%, 43% และ 47% ตามลำดับ จากสัดส่วนรายได้ธุรกิจบิวตี้ที่มีมาร์จิ้นสูงเพิ่มขึ้น (คาดสัดส่วนธุรกิจบิวตี้เพิ่มขึ้นในปี 60-62 อยู่ที่ 33% , 35% และ 39% ของรายได้ เพิ่มขึ้นจากปี 59 อยู่ที่ 7%) ส่งผลให้คาดผลประกอบการปี 60-62 มี Net margin ที่ 6%, 9% และ 13% ตามลำดับ
ด้านนักวิเคราะห์ บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำซื้อ RS และปรับราคาเป้าหมายใหม่เป็น 17 บาทต่อหุ้น จากเดิม 10 บาทต่อหุ้น โดยธุรกิจเปลี่ยน เน้นรุกธุรกิจด้านความงามมากขึ้นคาดสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นจาก 7% ในปีที่ผ่านมา ป็น 30% ในปีนี้ หนุนผลประกอบการพลิกมีกำไรเนื่องจาก Net margin ของธุรกิจบิวตี้สูงถึง 30% เทียบกับธุรกิจสื่อที่ขาดทุน
ขณะที่ นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร RS เปิดเผยว่า ไลฟ์สตาร์ ธุรกิจสุขภาพและความงาม (Health and Beauty) ซึ่งเป็นบริษัทในเครืออาร์เอสในปีนี้จะมียอดขายเติบโตแรงอย่างก้าวกระโดด ทำให้เชื่อว่าสิ้นปีนี้จะทำรายได้กว่า 1,200 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเติบโตถึง 600% จากปีก่อน ส่งผลให้โครงสร้างธุรกิจหลักของอาร์เอสคือมีเดียและสุขภาพความงาม
โดยนับจากนี้ (fundamental) พื้นฐานของบริษัทจะเปลี่ยนแปลงทิศทางที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ดูได้จากมีผลประกอบการแข็งแรงและมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น ถือว่าเป็นการพิสูจน์ความสำเร็จด้วยผลงานที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก
“การเติบโตอย่างก้าวกระโดดต่อเนื่องของธุรกิจสุขภาพและความงาม จะทำให้สัดส่วนรายได้ขึ้นมาใกล้เคียงกับธุรกิจสื่อภายในปี 61 กลายเป็นธุรกิจหลักของกลุ่มอาร์เอสอย่างสมบูรณ์แบบ”นายสุรชัย กล่าว
นอกจากนี้บริษัทอยู่ระหว่างการหาพาร์ทเนอร์ขยายโอกาสทางธุรกิจไปกลุ่มประเทศ CLMV โดยกำลังเจรจากับพันธมิตรท้องถิ่นที่ประเทศเมียนมา เพื่อร่วมขยายตลาดด้วยกัน คาดว่าจะชัดเจนภายในสิ้นปีนี้และเห็นการดำเนินงานในปี 61 พร้อมทั้งเร่งวางแผนต่อยอดขยายธุรกิจสุขภาพและความงามเพื่อรองรับการเติบโตในทุกมิติ ทั้งการให้ความสำคัญกับ (product development ) หน่วยพัฒนาสินค้าใหม่ๆ เพื่อคัดเลือกสินค้าคุณภาพใหม่เพื่อตอบโจทย์ให้ตรงใจผู้บริโภค
ตลอดจนเสริมศักยภาพของการใช้สื่อเพื่อสื่อสารถึงกลุ่มลูกค้าให้เกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และพัฒนาช่องการจำหน่าย Telesale ให้มีจำนวนและศักยภาพสอดคล้องกับการเติบโตของฐานลูกค้า รวมไปถึงขยายช่องทางใหม่ๆ อย่างโมเดิร์นเทรด โดยเฉพาะช่องทางออนไลน์ ซึ่งกำลังเป็นช่องทางที่รายได้เติบโตอย่างโดดเด่น
ขณะที่ธุรกิจมีเดีย วางเป้าหมายสร้างช่อง 8 เป็นผู้นำทีวีระดับประเทศ จนขณะนี้คาดว่าจะสามารถทำเรตติ้งได้ 500,000 รายต่อนาทีภายในสิ้นปี 60 ขยับขึ้นสู่อันดับ 4 ของประเทศทันทีอย่างแน่นอน
ทั้งนี้ มีการวางกลยุทธ์ทยอยเติมคอนเทนต์ใหม่ๆ ของช่อง 8 อย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการฟื้นตัวของเม็ดเงินโฆษณาที่คาดว่าจะฟื้นตัวในครึ่งปี โดยในช่วงครึ่งปีแรกทำเรตติ้งได้ดีจาก “คุยข่าวเช้า ช่อง 8” และยังถือว่าเป็นสถานีที่มีรายการมวยมากสุดและครองเรตติ้งสูงสุดของประเทศ
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนเตรียมโรดโชว์ต่างประเทศ ได้แก่ สิงค์โปร์, ฮ่องกง และสหรัฐอเมริกาประมาณปลายไตรมาส 3 นี้