สแกน 3 หุ้นตัวท็อป! รับอานิสงส์ท่องเที่ยวบูม

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้เปิดเผยสถานการณ์การท่องเที่ยวครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย.60) พบว่ามีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยจำนวน 17.32 ล้านคน หรือเฉลี่ยเดือนละ 2.8 ล้านคน และสร้างรายได้รวมเกือบ 9 แสนล้านบาท โดยภาพรวมนักท่องเที่ยวขยายตัว 4.41% และรายได้ขยายตัว 6.05% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ที่น่าสนใจรายได้จากการท่องเที่ยวมากกว่าครึ่งหนึ่ง (53%) เป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียตะวันออก ยุโรป อเมริกา เอเชียใต้ ตามลำดับ

ปัจจัยดังกล่าวถือเป็นแรงหนุนให้หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวหลายตัวได้รับผลดีตามไปด้วย ดังนั้น “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์”จึงทำการรวบรวมหุ้นที่ได้รับอานิสงส์ดังกล่าวจากโบรกเกอร์มานำเสนอเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศและเป็นแนวทางเข้าลงทุน โดยครั้งนี้ได้คัดเลือกมาจากบทวิเคราะห์ บล.โนมูระ พัฒนสิน และ บล.กรุงศรี ซึ่งคัดเลือกหุ้นที่ได้รับผลดีน่าลงทุน อาทิ MINT, ERW และ AOT

 

บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ว่า โดยรวมยังคาด Fund Flow มีโอกาสไหลเข้าสู่ภูมิภาคที่มีการฟื้นตัวของเศรษฐกิจดีกว่า เช่น เอเชีย อย่างไรก็ดีตลาดสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกกำลังเข้าสู่การรายงานผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 2/60 ซึ่งคาดจะเป็นปัจจัยสำคัญที่บ่งชี้ทิศทางทางตลาดหุ้นในช่วงถัดไปโดยหากมีการรายงานออกมาใกล้เคียงหรือดีกว่าคาด จะเป็นแรงผลักดันให้ SET ยังมีโอกาสปรับขึ้นทดสอบแนวต้านจิตวิทยาที่สำคัญบริเวณ 1600 จุดได้  จึงแนะจับตาการรายงานงบอย่างใกล้ชิด

ส่วนการลงทุนโดยแนะนำธีม “TOURISM Play” เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในไทยเดือน มิ.ย. ปรับขึ้น +11% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ 6 เดือนโต +4.4% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และส่งผลบวกต่อกลุ่มท่องเที่ยว แนะสะสม MINT, ERW

โดยบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT แนะนำซื้อเป้าหมาย 46 บาท คาดกำไรปกติไตรมาส2/60 จะกลับมาเติบโต 15%  จากการบริโภคและการท่องเที่ยวฟื้นตัว หนุนทุกธุรกิจที่กระจายความเสี่ยงที่ดี อีกทั้งโรงแรมยังมีการขยายสาขาต่อเนื่องทั่วโลก, ร้านอาหารที่แบรนด์แข็งแกร่งและ SSSG ฟื้นตัว (ไทย + จีน)

ราคาหุ้นที่พักฐานลงมาตามกลุ่มท่องเที่ยว หลังเงินบาทแข็งค่ามากกว่าเงินอื่นๆในภูมิภาคเชิงเปรียบเทียบ มองเป็นจุดน่าสนใจต่อการสะสม โดยซื้อขายที่ PER17F ระดับ 34 เท่า และยังเหมาะสมจากการเป็นผู้นำในกลุ่มฯที่มีรายได้กระจายตัวที่สุด Upside 15.7%

สำหรับบริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW แนะนำซื้อเป้าหมาย 6.30 บาท คาดแนวโน้มกำไรจะกลับมาเติบโตปี 2017F 23% สูงสุดในกลุ่มฯ จากนักท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว รวมถึงจะเริ่มเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการลงทุนช่วงที่ผ่านมาและเพิ่ม Scale ของรายได้ ลุ้นให้ผลประกอบการมีกำไรทุกไตรมาส

โดยเฉพาะ Hop Inn ที่เป็น Budget hotel และประสบผลสำเร็จ ซึ่งยังมีแผนเปิดสาขาเชิงรุก จากศักยภาพที่มีอยู่มากทั้งในไทยและต่างประเทศ   โดยระยะสั้นคาดกำไรไตรมาส2/60 แม้จะเป็น Low season แต่ยังเพิ่มขึ้นเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

สำหรับราคาหุ้นที่ปรับฐานลงมาในช่วงทีผ่านมา มองเป็นจุดน่าสนใจอีกครั้ง โดยปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ PER17F 30.5 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 50.3 เท่า ขณะที่กำไรปีนี้จะเติบโตสูงสุดในกลุ่มฯ

 

การท่องเที่ยวยังเป็นขาขึ้น +  Nomura (Global) รายงานตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนไปเกาหลี ยังลดลงต่อเนื่องจากปัญหาระหว่างประเทศ (THAAD) โดยมี.ค., เม.ย. และพ.ค. -40%, -67%, -60% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนตามลำดับ อานิสงส์ต่อไทยซึ่งเดือนมิ.ย. นักท่องเที่ยวที่ดอนเมือง (สนามบินหลักของชาวจีน) เพิ่ม 15% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนขณะที่ นักท่องเที่ยวรวมในไทยเดือนมิ.ย. +11% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนสูงสุดในรอบปี

 

บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาด SET Index จะยังผันผวนในกรอบจำกัด ตลาดยังไม่มีปัจจัยบวกลบใหม่ที่ชัดเจน นักลงทุนจะยังชะลอการลงทุนเพื่อรอดูผลประกอบการของกลุ่มธนาคารที่จะประกาศออกมาทั้งหมดในสัปดาห์นี้

เบื้องต้นคาดผลประกอบการจะออกมาชะลอตัว เทียบไตรมาสก่อนหน้า จากยอดสินเชื่อที่ชะลอตัว และยังมีภาระหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) เพิ่มขึ้น ส่วนกลุ่ม Real sector ยังเป็นการหมุนกลุ่มเก็งกำไรในรายอุตสาหกรรมโดยเฉพาะกลุ่มที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวอาทิ กลุ่มท่องเที่ยวรับผลบวกจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบกว่า 9 เดือน

กลยุทธ์การลงทุน : ยังเน้น Selective buy หุ้นที่ปัจจัยบวกเฉพาะตัว อาทิ กลุ่มที่แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/17 จะออกมาดี ASIAN BPP BR ORI EA MTLS IHL SYNTEC* PT* กลุ่มท่องเที่ยว MINT ERW และ AOT จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

 

นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งหลังของปี 2560 นักท่องเที่ยวจะมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากหลายปัจจัย อาทิ การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐ ยุโรป และจีน ซึ่งส่งเสริมให้เกิดการเดินทางระหว่างประเทศ, การฟื้นตัวสู่แนวโน้มปกติของนักท่องเที่ยวจีน เป็นต้น

หลังจากสถานการณ์ด้านการท่องเที่ยวครึ่งแรกเดือน ม.ค.-มิ.ย. ของปี 2560 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยจำนวน 17,323,640 คน หรือเฉลี่ยเดือนละ 2.8 ล้านคน สร้างรายได้รวม 876,682 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาพบว่า ภาพรวมนักท่องเที่ยวขยายตัว 4.41% และรายได้ขยายตัว 6.05%

สำหรับเดือนที่นักท่องเที่ยวขยายตัวสูงสุด คือ มิถุนายน ขยายตัว 11% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลจากหลายปัจจัย อาทิ การเข้าสู่แนวโน้มปกติของนักท่องเที่ยวจีน การท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวมุสลิมในช่วงอีดอิดิรฟิตริ์ การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวรัสเซีย เป็นต้น

ขณะที่รายได้จากการท่องเที่ยวมากกว่าครึ่งหนึ่ง (53%) เป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียตะวันออก ยุโรป อเมริกา เอเชียใต้ ตามลำดับ โดยนักท่องเที่ยวชาวจีนสร้างรายได้ให้กับประเทศมากที่สุด รวม 241,247 ล้านบาท สัดส่วนต่อรายได้ทั้งหมด 27.5% ตามด้วยรัสเซีย และมาเลเซีย

ด้านไทยเที่ยวไทยเดือน ม.ค. – พ.ค. ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยมีนักท่องเที่ยวจำนวน 58 ล้านคน-ครั้ง ก่อให้เกิดรายได้ 382,000 ล้านบาท ขยายตัว 5.28% และ 6.12% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเติบโตทั้งในเมืองหลักและเมืองรอง ซึ่งกระทรวงยังคงให้ความสำคัญกับทุกกลุ่ม เช่น การส่งเสริมการท่องเที่ยวใน 12 เมือง ต้องห้าม…พลาด, 12 เมือง ต้องห้าม…พลาด พลัส รวมถึงการท่องเที่ยวในระดับชุมชนต่างๆ เพื่อกระจายประโยชน์จากการท่องเที่ยวอย่างทั่วถึง

นายพงษ์ภาณุ กล่าวว่า สำหรับในปี 61 ที่กำลังดำเนินการเตรียมเสนอให้คณะกรรมการท่องเที่ยวแห่งชาติ (ททช.) พิจารณารับรองเห็นชอบให้เป็น “ปีท่องเที่ยวแห่งชาติ” นั้น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้เตรียมกิจกรรมเพื่อรองรับทั้งในด้านการท่องเที่ยวและกีฬา อาทิ การเป็นเจ้าภาพจัดงาน UNWTO World Forum on Gastronomy Tourism, สุดยอดเส้นทางการท่องเที่ยวของประเทศ,  การจัดการแข่งขัน Moto GP และ AIR RACE 1 ที่เป็น Event กีฬาระดับโลก, การเป็นเจ้าภาพจัดประชุมกีฬา Sport Accord Convention 2018 เป็นต้น

 

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน