เช็คยัง! 13 หุ้นเลือดไหลไม่หยุด 7 เดือนทำเม่าเจ๊งเกิน 40%

ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ SET ในรอบ 7 เดือนที่ผ่านมา หุ้นขนาดเล็กและหุ้นไม่มีพื้นฐานถูกเทขายออกมาอย่างหนัก “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการรวบรวมหุ้นที่ปรับตัวลงแรงในรอบ 7 เดือนมานำเสนอ โดยครั้งนี้คัดเลือกเฉพาะหุ้นที่ปรับตัวลงแรงเกิน 40% เป็นหลัก


ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ SET ในรอบ 7 เดือนที่ผ่านมาปรับตัวขึ้น 2.15% โดยเทียบจากดัชนียืนอยู่ที่ระดับ 1,542.94 จุด (30 ธ.ค. 59) มาอยู่ที่ระดับ 1,576.08 จุด (31 ก.ค.60) บวกไป 33.14 จุด โดยบรรยากาศดังกล่าวทำให้หุ้นขนาดเล็กและหุ้นไม่มีพื้นฐานถูกเทขายออกมาอย่างหนัก

ดังนั้น “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการรวบรวมหุ้นที่ปรับตัวลงแรงในรอบ 7 เดือนมานำเสนอ โดยครั้งนี้คัดเลือกเฉพาะหุ้นที่ปรับตัวลงแรงเกิน 40% เป็นหลัก โดยหุ้นที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวมีทั้งหมด 13 ตัว คือ GL,TRITN,FER, NPP, FN, STA, SCN, NMG, PTG, MALEE, STPI, SCI และ SLP อย่างไรก็ตามการเสนอหุ้นกลุ่มดังกล่าวไม่สามารถนำเสนอข้อมูลให้นักลงทุนได้ครบทุกตัว ดังนั้นครั้งนี้จะขอเลือกนำเสนอหุ้นปรับตัวลงแรงเพียง 5 อันดับแรกเท่านั้น

 

อันดับ 1 บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL ปรับตัวลงแรง 64.54% มาอยู่ที่ระดับ 20.30 บาท (31 ก.ค.60) ลบไป 36.95 บาท จากระดับ 57.25 บาท (30 ธ.ค. 59) ราคาหุ้นปรับตัวแรงเนื่องจากความกังวลของนักลงทุนต่อการที่บริษัทได้ให้เงินกู้ยืมแก่บริษัทย่อยในสิงคโปร์ ซึ่งบริษัทย่อยนี้ได้ให้บริษัทอื่นสองกลุ่มในเกาะไซปรัส และสิงคโปร์กู้ยืมเงินต่อ หรือ “แครี่เทรดข้ามชาติ” และได้นำหลักทรัพย์ส่วนหนึ่งที่เป็นหุ้นของบริษัทมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ยืมจากบริษัทย่อย

แน่นอนประเด็นดังกล่าวถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ราคาหุ้น GL ร่วงหนักตลอด 7 เดือน ที่ผ่าน เนื่องจากบริษัทไม่สามารถชี้แจงข้อมูลการปล่อยกู้ได้ชัดเจน อีกทั้งช่วงที่ผ่านมามีประเด็นลบเข้ามากระทบไม่ว่าจะเป็น การตรวจพบปมฉาวเพิ่มเติมอาทิ ก.ล.ต.ญี่ปุ่นเคยสั่งปรับฐานปั่นหุ้น อีกทั้งโบรกฯเกอร์ที่ออกมาเตือนเรื่องการเข้าลงทุนยิ่งทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลงอีกทาง

อันดับ 2 บริษัท ไทรทัน โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TRITN ปรับตัวขึ้นแรง 54.17% มาอยู่ที่ระดับ 0.22 บาท (31 ก.ค.60) ลบ 0.26 บาท จากระดับ 0.48 บาท (30 ธ.ค. 59) คาดนักลงทุนขายทำกำไรหลังหุ้นปรับตัวขึ้นแรงก่อนหน้านี้ อีกทั้งพื้นฐานบริษัทไม่สดใสนับตั้งแต่ขาดทุนอย่างหนักปี 59 และต่อเนื่องมาในไตรมาส 1/60 และหุ้นไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุนยิ่งทำให้นักลงทุนที่เข้ามาเก็งกำไรก่อนหน้านี้เทขายหุ้นมาตลอด 7 เดือนที่ผ่านมา

อันดับ 3 บริษัท เฟอร์รั่ม จำกัด (มหาชน) หรือ FER ปรับตัวลงแรง 53.41% มาอยู่ที่ระดับ 0.41 บาท (31 ก.ค.60) ลบ 0.47บาท จากระดับ 0.88 บาท (30 ธ.ค. 59) คาดนักลงทุนขายทำกำไรหลังหุ้นปรับตัวขึ้นแรงก่อนหน้านี้ ประกอบกับหุ้นไม่มีพื้นฐาน เนื่องจากขาดทุนต่อเนื่องมาหลายปีจึงเป็นเหตุให้นักลงเทขายหุ้นตลอด 7 เดือนที่ผ่านมา

อันดับ 4  บริษัท นิปปอน แพ็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ NPP ปรับตัวลงแรง 50.41% มาอยู่ที่ระดับ 0.60 บาท (31 ก.ค.60) ลบ 0.61 บาท จากระดับ 1.21 บาท (30 ธ.ค. 59) คาดนักลงทุนขายทำกำไรหลังหุ้นปรับตัวขึ้นแรงก่อนหน้านี้ ประกอบกับหุ้นพื้นฐานไม่สดใส เนื่องจากขาดทุนต่อเนื่องมาหลายปีจึงเป็นเหตุให้นักลงเทขายหุ้นตลอด 7 เดือนที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตามบริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ปี 60 จะเติบโตได้ราว 25-30% จากปีนี้ เป็นไปตามแผนการขยายสาขาของธุรกิจด้านอาหารและเครื่องดื่ม โดยปีหน้าจะมุ่งขยายสาขาร้าน A&W เป็นหลัก โดยตั้งงบลงทุนราว 100 ล้านบาท เพื่อเพิ่มสาขาอีก 20 สาขา จากที่มีอยู่ปัจจุบัน 30 สาขา

นอกจากนี้ ยังมีแผนจะขยายสาขาร้าน A&W ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน อย่างในเมียนมา ,ลาว และกัมพูชา ซึ่งจะเข้าไปตั้งในห้างสรรพสินค้า และในรูปแบบ stand alone ซึ่งคาดว่าในปีหน้าจะผลักดันให้เกิดขึ้นได้ โดยวางเป้าหมายขยายสาขาอย่างน้อย 3-4 สาขา ในหัวเมืองหลัก เช่น ย่างกุ้ง,มัณฑะเลย์,เวียงจันทน์,หลวงพระบาง,พนมเปญ และเสียมเรียบ เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามยอดขายจากต่างประเทศน่าจะเห็นเป็นรูปธรรมได้คงจะใช้เวลา 2-3 ปีขึ้นไป

อันดับ 5 บริษัท เอฟเอ็น แฟคตอรี่ เอ๊าท์เลท จำกัด (มหาชน) หรือ FN ปรับตัวลงแรง 50.32% มาอยู่ที่ระดับ 4.72 บาท (31 ก.ค.60) ลบ 4.78 บาท จากระดับ 9.50 บาท (30 ธ.ค. 59) ราคาหุ้นปรับตัวลดลง เนื่องจากผลประกอบการไตรมาส 1/60 ออกมาไม่สดใส และถึงแม้หุ้นจะมีปัจจัยบวกมาสนับสนุน อาทิ แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/60 กลับมาสดใส และแผนงานธุรกิจที่โดดเด่น และนักวิเคราะห์แนะนำให้เข้าลงทุน แต่ราคาหุ้นก็ไม่กระเตื้องขึ้นตลอด 7 เดือนที่ผ่านมา

นายเบญจ์เยี่ยม ส่งวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร FN เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2/60 จะดีกว่าช่วงไตรมาส 1/60 ที่มีรายได้ 266.70 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 22.68 ล้านบาท เนื่องจากเป็นช่วงฤดูท่องเที่ยวในประเทศ โดยเฉพาะวันหยุดยาวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประกอบกับบริษัทมีรายได้เพิ่มเข้ามาจากการเปิดสาขาหาดใหญ่ในเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าทั้งนักท่องเที่ยวในประเทศและต่างประเทศ

ขณะที่ทั้งปี 60 บริษัทมั่นใจว่ารายได้จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 20% จากปีก่อนที่มีรายได้ 1,098.67 ล้านบาท เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาเห็นสัญญาณกำลังซื้อปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในช่วงครึ่งปีหลังมีโอกาสฟื้นตัวขึ้นได้อีก ขณะที่บริษัทได้เตรียมงบลงทุนราว 160 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างสาขาที่ 10 ใน จ.ฉะเชิงเทรา คาดว่าจะเปิดให้บริการในไตรมาส 3/60 ตามแผนงาน

 

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button