เปิดงบฯ Q2 “ทีวีดิจิตอล” ชู 3 หุ้นเด่นกำไรโต-แถมเป้าสูง

เปิดงบฯ Q2 “ทีวีดิจิตอล” ชู 3 หุ้นเด่นกำไรโต-แถมเป้าสูง


ช่วงนี้บริษัทจดเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทยอยประกาศงบไตรมาส 2/60 ออกมาใกล้หมดแล้ว และเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศการลงทุน “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการรวบรวมข้อมูลหุ้นหมวดธุรกิจสื่อและสิ่งพิมพ์ โดยเน้นทำธุรกิจสื่อดิจิตอลทีวีเป็นหลัก ซึ่งครั้งนี้ทำการรวบรวมหุ้นได้ทั้งหมด 7 ตัวด้วยกันคือ MONO,WORK,BEC,RS,GRAMMY,AMARIN และ MCOT ดังตารางประกอบ

อีกทั้งแม้ว่าภาวะเม็ดเงินโฆษณาโดยรวมในไตรมาส 2/60 จะชะลอตัว จากภาคการบริโภคที่อ่อนแอ แต่ดูเหมือนว่าผลงานไตรมาส 2/60 ของกลุ่ม”ทีวีดิจิตอล”ยังสดใส เห็นได้จากหุ้น MONO และ WORK ที่ทำผลงานไตรมาส 2/60 เติบโตโดดเด่นเกิน 100% ไม่เพียงเท่านั้น RS ยังพลิกมีกำไรในไตรมาส 2/60 และทำกำไรช่วง 6 เดือนปีนี้ได้อย่างโดดเด่น ตรงนี้สะท้อนให้เห็นว่าปีนี้ธุรกิจ”ทีวีดิจิตอล”ยังดำเนิไปเนินไปได้อย่างสดใสอีกครั้ง

 

บล.บัวหลวง ระบุว่า แม้ว่าภาวะเม็ดเงินโฆษณาโดยรวมในไตรมาส 2/60 จะชะลอตัว จากภาคการบริโภคที่อ่อนแอ เชื่อว่าผู้เล่นในสื่อดิจิตอลทีวีจะรายงานกำไรเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในไตรมาส2/60 ทั้ง WORK, RS, MONO และ GRAMMY ตรงกันข้ามกับกลุ่มสื่ออะนาล๊อกที่คาดกำไรจะลดลงทั้งเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และเทียบไตรมาสก่อนหน้า

โดยในไตรมาส 3/60 บริษัทในกลุ่มทีวีดิจิตอลและสื่อนอกบ้านจะยังมีกำไรที่เติบโตดีต่อเนื่องทั้ง RS, MONO และ PLANB แม้คาดเม็ดเงินโฆษณาโดยรวมจะฟื้นตัวเล็กน้อย/ทรงตัว เทียบไตรมาสก่อนหน้า  อย่างไรก็ตามโดยรวมยังคงชื่นชอบ WORK (เรตติ้งอันดับ 1 ในสื่อดิจิตอลทีวี), RS (รายได้ธุรกิจเสริมความงามเติบโตก้าวกระโดด)

สำหรับบริษัท โมโน เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ MONO ดำเนินธุรกิจ 2 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจสื่อและการให้บริการข้อมูล ประกอบด้วยธุรกิจโมบายอินเทอร์เน็ต ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ ธุรกิจสื่อทีวี ธุรกิจสื่อวิทยุ และกลุ่มธุรกิจการให้บริการด้านบันเทิง ประกอบด้วยธุรกิจเพลง และธุรกิจภาพยนตร์

โดยกำไรไตรมาส 2/60 โต 294% มาที่ 51.63 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 13.08 ล้านบาท ส่วนงวด 6 เดือนพลิกมีกำไร 74.77 ล้านบาท จากปีก่อนขาดทุน 67.10 ล้านบาท

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวมีกำไรเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากการให้บริการสื่อโฆษณาเพิ่มขึ้นจำนวน 263.93 หรือคิดเป็นร้อยละ 47.01 เป็นผลจากการเติบโตของธุรกิจดิจิตอลทีวี Mono29 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากเรตติ้งที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก

บล.เออีซี ระบุในบทวิเคราะห์ว่า MONO (BUY:[email protected]): ช่วงไตรมาส 2/60 กำไรโตเด่น 294.8%YoY จากการฟื้นตัวของธุรกิจสื่อทีวีดิจิตอล (MONO29) สอดคล้องกับ Rating ของช่องเดือน มิ.ย. ที่เพิ่ม 21.8% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังความนิยมของหนังและซีรีย์ในช่องฟรีทีวีเพิ่มส่วนช่วง ไตรมาส4/60 แม้เข้าสู่ช่วงไว้อาลัยแต่คาดปี 60 ยังพลิกกำไร 261 ลบ.และโตต่อ 68.8%YoY ในปี 61+Upside 13.0% คงแนะนำ “ซื้อ”

บล.ไอร่า ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมปี’60 ที่ 4.20 บาท…..ภายใต้ประเด็นความน่าสนใจ คือ รายได้จากการขายโฆษณาผ่าน “MONO29” ที่คาดว่าจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงรายได้จาก “See ME” Platform ที่จะเปิดตัวใหม่ในช่วง 3Q60 ที่มองว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันผลการดำเนินงานของ MONO ในระยะยาว โดยคาดการณ์กำไรสุทธิในปี’60 ที่ 110 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้นที่ 0.03 บาท ประเมินราคาเหมาะสมปี’60 ที่ 4.20 บาท ด้วยวิธี DCF (WACC 10.3%, Terminal growth 1.5%) แนะนำ “ซื้อ”

 

ส่วนบริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ WORK ธุรกิจรายการโทรทัศน์ รับจ้างจัดงาน ภาพยนตร์ บริหารจัดการโรงละคร คอนเสิร์ต และรับจ้างจัดงานโดยกำไรไตรมาส 2/60 โต 178.43% มาที่ 372.79 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 133.89 ล้านบาท ส่วนงวด 6 เดือนมีกำไร 546.17 ล้านบาท โต 235.86% จากปีก่อนมีกำไร 162.62 ล้านบาท

สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2560 บริษัทมีรายได้จากธุรกิจรายการโทรทัศน์รวมเท่ากับ 1,022.76 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 286.88 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 39 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีรายได้เท่ากับ 735.88 ล้านบาท ทั้งนี้การเพิ่มขึ้นของรายได้ธุรกิจรายได้โทรทัศน์ของบริษัทมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากช่อง WORKPOINT โดยในไตรมาส 2/2560 บริษัทมีรายได้จากช่อง WORKPOINT เท่ากับ 937.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเท่ากับ 234.21 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 33 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

นอกจากนี้รายได้จากสื่อออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญด้วยเช่นกัน โดนในไตรมาส 2/2560 บริษัทมีรายได้จากสื่อออนไลน์เท่ากับ 76.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเท่ากับ 14.48 ล้านบาท หรือร้อยละ 426 ขณะที่บริษัทมีรายได้จากการรับจ้างจัดงาน และรายได้จากการจัดคอนเสิร์ตและละครเวทีเพิ่มขึ้นด้วย

ทั้งนี้ในไตรมาส 2/2560 บริษัทมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร เท่ากับ 203.60 ล้านบาท ลดลง 3.76 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 2 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเท่ากับ 199.84 ล้านบาท โดยการลดลงดังกล่าวมีสาเหตุมาจากการลดลงของค่าใช้จ่ายประชาสัมพันธ์และโปรโมทรายการโทรทัศน์ และการลดลงของค่าใช้จ่ายสำนักงาน

บล.ดีบีเอสฯ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ประกาศกำไรหลักไตรมาส 2/60 ออกมาแข็งแกร่งเป็น 373 ล้านบาท (+179% y-o-y, +115% q-o-q) ถือว่าดีกว่าที่เราและตลาดคาดถึง 37% และ 51% ตามลำดับ

แนวโน้ม 2H60 และระยะยาวยังคงแข็งแกร่งมาก จากรายการที่ได้รับความนิยมสูง ปรับเพิ่มประมาณการปีนี้และปีหน้าในอัตรา 16%/17% ตามลำดับ สะท้อนอัตรากำไรที่ดีกว่าคาด และปรับเพิ่มคำแนะนำจากถือเป็น ซื้อ ด้วยราคาพื้นฐานใหม่ที่ 73.00 บาท ด้วยวิธี DCF ราคาปิดมีส่วนเพิ่มอีก 17%

 

ด้านบริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS ไตรมาส 2/60 พลิกมีกำไร 52.04 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุน 85.02 ล้านบาท ส่วนงวด 6 เดือนมีกำไร 99.05 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 351.82% จากปีก่อนมีกำไร 21.92 ล้านบาท โดยผลการดำเนินงานในไตรมาสพลิกมีกำไร เนื่องจากรายได้จากการขายและรายได้จากการให้บริการเพิ่มขึ้น

บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” RS ราคาเป้าหมาย 17.30 บาท/หุ้น ฝ่ายวิจัยปรับประมาณกำไรสุทธิปี 2560-2562 เพิ่มขึ้นจากคาดการณ์เดิม 14% และ 28% และ 24% โดยคาดรายได้ธุรกิจ Health & Beauty เพิ่มขึ้นเป็นหลัก คาดรายได้ปีนี้อยู่ที่ราว 1,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 228 ล้านบาท โดยยอดขายปัจจุบันอยู่ที่เฉลี่ยประมาณเดือนละ 120 ล้านบาท  และคาดปี 2561-2562 เติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 30% จากการใช้กลยุทธ์การขายใหม่และวางเป้าหมายการเพิ่มจำนวนสินค้า SKU เพิ่มขึ้นรวมถึงจำนวน partner ที่เพิ่มขึ้น

ในส่วนของธุรกิจมีเดีย ฝ่ายวิจัยปรับประมาณการลงจากคาดการณ์เดิมโดยคาด U.rate ปี 2560 จะอยู่ที่ 55% จากคาดเดิมที่ 65% เนื่องจากช่วงพระราชพิธีถวายพระเพลิงศพพระบรมศพ รัชกาลที่ 9 ในช่วง ต.ค.60 คาดงดการโฆษณา 2 สัปดาห์

อย่างไรก็ตาม รายได้ธุรกิจมีเดียยังมีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้นได้ราว 10% จากการปรับการขึ้นค่าโฆษณาขึ้นเฉลี่ย 36% สำหรับอัตรา Gross margin เฉลี่ยในปี 2560-2562 คาดเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 38%, 43% และ 47% ตามลำดับ จากสัดส่วนรายได้ธุรกิจบิวตี้ที่มีมาร์จิ้นสูงเพิ่มขึ้น (คาดสัดส่วนธุรกิจบิวตี้เพิ่มขึ้นในปี 2560-2562 อยู่ที่ 33% , 35% และ 39% ของรายได้ เพิ่มขึ้นจากปี 2016 อยู่ที่ 7%) ส่งผลให้คาดผลประกอบการปี 2560-2562 มี Net margin ที่ 6%, 9% และ 13% ตามลำดับ

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button