ช็อป! 14 หุ้น Big Cap เน้นมี Upside-เป้าฟันด์โฟลว์ไหลเข้า
ภาวะตลาดหุ้นไทยกลับมาคึกคักอีกครั้งหลังดัชนีทะลุระดับ 1,600 จุด ขณะเดียวกันโบรกเกอร์ชั้นนำของไทยมองว่าภาวะตลาดหุ้นยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นอีกเพื่อทดสอบระดับ 1,650 จุด เนื่องจากมองว่านักลงทุนต่างประเทศยังคงเข้าซื้อต่อตามความคาดหวังเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว
ภาวะตลาดหุ้นไทยกลับมาคึกคักอีกครั้งหลังดัชนีทะลุระดับ 1,600 จุด ขณะเดียวกันโบรกเกอร์ชั้นนำของไทยมองว่าภาวะตลาดหุ้นยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นอีกเพื่อทดสอบระดับ 1,650 จุด เนื่องจากมองว่านักลงทุนต่างประเทศยังคงเข้าซื้อต่อตามความคาดหวังเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว
นอกจากนี้ด้วยมุมมองบวกระยะ 1-3 เดือนข้างหน้า ตามการเมืองที่มีเสถียรภาพ และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน+EEC มีความต่อเนื่อง อีกทั้ง valuation ตลาดหุ้นไทย “ไม่แพง” ที่ PE18 14.3 เท่า และมองกำไร SET สร้างฐานใหม่ที่ 110 – 120 บาท/หุ้น ในปี 2018-19 เทียบกับช่วง 4 – 5 ปีที่ผ่านมา 75 – 100 บาท/หุ้น
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ยังคงให้เน้นไปที่หุ้น Big Cap ในกลุ่ม SET50 ที่มี Upside และเป็นหุ้นใหญ่ที่เป็นเป้าหมายเงินทุนต่างชาติ อาทิ PTT, KBANK, AOT, PTTGC, IVL, BANPU, BDMS, BEM, BJC, BLA, KTB, MTLS, PTTEP และ SCC เป็นต้น
โดยมุมมองดังกล่าว“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์”ได้ทำรวบรวมข้อมูลมานำเสนอเพื่อประกอบลงทุน โดยครั้งนี้อาศัยข้อมูลจากบทวิเคราะห์บล.กสิกรไทย และบล.ธนชาต ซึ่งมีดังนี้
บล.กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ว่า นักลงทุนต่างประเทศกลับเข้ามาซื้อใน SET คาดว่าจะยังคงเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ตามความคาดหวังเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว สาเหตุที่ทำให้นักลงทุนย้อนเข้าหาหุ้นไทยอีกครั้ง เคยนำเสนอไปก่อนหน้านี้ว่า
1) ความเสี่ยงที่ Consensus จะทำการปรับลดคาดการณ์ EPS ของ SET ในปี 2560 จากระดับปัจจุบันที่ 100.89 บาทต่อหุ้นมีต่ำมาก หลังจากการรายงานผลประกอบการงวด 2Q60 ออกมาตลาดมีกำไรสุทธิ 2.25 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นไปอย่างที่ Consensus คาดหวังจนทำให้กำไรในช่วงครึ่งแรกของปีสูงถึง 5.15 ล้านบาท คิดเป็น 51.5% ของที่ Consensus คาดไว้ทั้งปีที่ 9.99 แสนล้านบาท และ 2) GDP Growth ในงวด 2Q60 ขยายตัว 3.7%
ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนสามารถฟื้นตัวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ไตรมาส 3/2559 (+3.2%) นำมาซึ่งการปรับคาดการณ์ GDP Growth ปี 2560 ของ ธปท. เป็น 3.5-4.0%
ทั้ง 2 เหตุผลข้างต้น เป็นสิ่งที่แตกต่างจากเมื่อต้นปีที่ตลาดหุ้นไทยยังมีความเสี่ยงเรื่องการปรับลดคาดการณ์กำไร และ GDP เมื่อปัจจัยที่เคยกดดันเปลี่ยนไปกระแสเงินจึงไหลเข้ามายังไทยอีกครั้ง จากที่ไหลเข้าตลาดหุ้นเอเชียอื่นๆ ในช่วงปีที่ผ่านมา
นอกจากนั้น SET Index ยังได้ปัจจัยเสริม จากสถานะ Safe Heaven ของไทยที่นักลงทุนต่างประเทศมักจะนำเงินเข้ามาพัก ในยามที่โลกเกิดสภาวะ Risk Off โดยประเด็นความกังวลเรื่องการทดลองยิงขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ ซึ่งรอบนี้เป็นการยิงผ่านเกาะฮอกไกโดของญี่ปุ่น เป็นการสร้างความตื่นตระหนกให้กับตลาดหุ้น North Asia เป็นอย่างมาก นักลงทุนต่างประเทศทำการขายสุทธิทั้งใน เกาหลีใต้ 211 ล้านเหรียญ ไต้หวัน 152 ล้านเหรียญ และยังขายประเทศอื่นๆใน Southeast Asia อย่างอินโดนีเซีย 91 ล้านเหรียญ ตรงกันข้ามกับการเข้าซื้อในไทย 145 ล้านเหรียญ
อย่างไรก็ตามเมื่อความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีลดลง คาดว่าการโยกย้ายกระแสน่าจะชะลอตัว แรงซื้อของนักลงทุนต่างประเทศจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติและอิงกับคาดหวังแนวโน้มเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวของไทยแทน
ดังนั้นกลุ่มหุ้นใน SET50 ที่มี Upside จากจุดสูงสุดในรอบ 2 ปี คาดว่าจะเป็นเป้าหมายในการซื้อกลับและมีโอกาสขึ้นนำตลาดต่อเนื่อง :คาด SET50 Index จะขึ้น Outperform ตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มหุ้น SET50 ที่ยังมี Upside จากจุดสูงสุดในรอบ 2 ปี จะเป็นกลุ่มมีโอกาสสูงในการถูกซื้อคืนและไล่กลับ อาทิ BANPU 23.28% BDMS 18.94% BEM 13.50% BH 18.78% BJC 17.44% BLA 21.63% BTS 11.36% CBG 18.38% CPF 30.23% DELTA 13.30% GLOBAL 24.15% GLOW 11.69% HMPRO 15.45% INTUCH 15.11% KCE 46.00% KTB 12.95% PTTEP 17.55% ROBINS 23.03% SCB 13.15% SCC 10.50% SCCC 11.51% TPIPL 28.70% TRUE 72.17% TU 15.00% เลือกหุ้นที่น่าสนใจในชุดหุ้นดังกล่าว BANPU BDMS BEM BJC BLA KTB MTLS PTTEP และ SCC
กลยุทธ์การลงทุนคาดแรงซื้อของนักลงทุนต่างประเทศยังคงจะมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งน่าจะทำให้ SET Index ไปทดสอบ 1,650 จุด โดยยังคงให้เน้นไปที่ Big Cap ใน SET50 ที่มี Upside KTB BJC และ MTLS เป็น Top Pick นอกนั้นยังสามารถถือหุ้น Theme กำไรครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งแรก MEGA JWD SPALI และการฟื้นตัวของรับเหมาฯ เหล็ก STEC SYNTEC TMT
สำหรับ KTB คาดว่าผลประกอบการในครึ่งหลังของปีจะดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากไม่มีรายการตั้งสำรองขนาดใหญ่ เหมือนดังเช่นในงวด 2Q60 ที่มีการตั้งสำรอง EARTH กว่า 9 พันล้านบาท นอกจากนั้น KTB ยังเป็นหุ้นที่มีโอกาสขึ้นมากกว่าตลาด หากนักลงทุนต่างประเทศเริ่มกลับเข้ามาซื้อใน SET ด้วยเพราะระดับ Valuation ปัจจุบันน่าสนใจที่สุดในกลุ่มธนาคารฯ (Upside ที่สูงที่สุด PER และ PBV ต่ำสุดในกลุ่มธนาคารฯขนาดใหญ่) แนะซื้อเป้าหมาย 19.10 บาท
ส่วน BJC (พื้นฐาน 53.50 บาท +18.23%) ภาพรวมดีขึ้นในไตรมาส 3/60 หนุนจากผลประกอบการของ BIGC อัตราการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ของ BIGC ส่งสัญญาณฟื้นตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2560 โดย SSSG ของ BIGC พลิกกลับมาอยู่ในแนวบวกในเดือน ก.ค. ที่ 2.4% และเติบโตมากขึ้นในเดือน ส.ค. อยู่ที่ประมาณ 10% จากยอดขายอาหารแห้งที่มากขึ้น
อย่างไรก็ดี ผู้บริหารคงเป้า SSSG ในปี 2560 ไว้ที่ติดลบเล็กน้อยตามเดิม ขณะที่เราคาดว่าแนวโน้มของธุรกิจบรรจุภัณฑ์, สินค้าอุปโภคบริโภค และธุรกิจอื่นๆ ของ BJC ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2560 จะใกล้เคียงกับในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2560 ทั้งนี้แม้กำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2560 ที่อยู่ที่ 1.96 พันลบ. (+195.7% YoY) คิดเป็นเพียงแค่ 35.3% ของประมาณการกำไรสุทธิในปี 2560 ของเราแต่เราคงประมาณการปี 2560 ไว้ตามเดิมที่ 5.5 พันลบ. (+38.7% YoY)
เชื่อว่าผลประกอบการของ BJC ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 60 จะดีกว่าในช่วงครึ่งปีแรกหนุนจาก 1) ธุรกิจ modern trade ที่ดีขึ้นและ 2) อัตราภาษีที่แท้จริงที่ลดลงในไตรมาส 4/60 ผลจากการปรับโครงสร้างภายในซึ่งทำให้อัตราภาษีที่แท้จริงลดลงมาอยู่ที่ 20% จากที่ประมาณ 30% ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 60
บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ว่า SET อาจแกว่งตัวบ้างหลังปรับสูงขึ้นแรง และตลาดหุ้นโลกกังวลการยิงขีปนาวุธเกาหลีเหนือ แต่จะเป็นโอกาส “ซื้อ” ด้วยมุมมองบวกระยะ 1-3 เดือนข้างหน้า ที่แนวต้าน 1,650 จุด จาก 1) การเมือง มีเสถียรภาพ ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน + EEC มีความต่อเนื่อง 2) valuation “ไม่แพง” ที่ PE18 14.3x 3) มองกำไร SET สร้างฐานใหม่ที่ 110-120 บาท/หุ้น ในปี 2018-19 เทียบกับช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา 75-100 บาท/หุ้น ซึ่งจะทำให้เห็นการสร้างฐานใหม่ของ SET โดยกลุ่มหุ้น SET50 มีแนวโน้มเป็น”กลุ่มนำ”ตลาดได้แก่
1.”ซื้อ” หุ้นใหญ่เป้าหมายเงินทุนต่างชาติ อย่าง PTT, KBANK, AOT, PTTGC และ IVL ขณะทีมอง MINT เป็น laggard play ในกลุ่มโรงแรม
2.”ซื้อ” กลุ่มนิคมฯ แม้เป็นหุ้นขนาดกลาง แต่จะได้ผลดีจากการนำกฎหมาย EEC เข้า ครม.ในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า ชอบ AMATA และ WHA
3.Bond yield สหรัฐฯ ต่ำ 2.1% เป็นปัจจัยบวกกลุ่ม micro finance และ leasing ชอบ KKP รับปันผล 2.8% กลางปี, MTLS
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน