2 โบรกฯดังชี้ SET เสี่ยงพักฐาน! คัด 30 หุ้นปลอดภัยรับมือการลงทุน
ช่วงนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยแม้มีแรงหนุนจาก Fund Flow เข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่คาดกรอบดัชนีจะขึ้นจำกัดและมีโอกาสพักฐาน หลังปรับขึ้นทำ New High ในรอบ 23 ปี แน่นอนบรรยากาศการลงทุนดังกล่าวเชื่อว่านักลงทุนต้องการมุมมองและกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมไว้เพื่อป้องกันความเสี่ยง และเพื่อให้การลงทุนเป็นไปอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
ช่วงนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยแม้มีแรงหนุนจาก Fund Flow เข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่คาดกรอบดัชนีจะขึ้นจำกัดและมีโอกาสพักฐาน หลังปรับขึ้นทำ New High ในรอบ 23 ปี แน่นอนบรรยากาศการลงทุนดังกล่าวเชื่อว่านักลงทุนต้องการมุมมองและกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมไว้เพื่อป้องกันความเสี่ยง และเพื่อให้การลงทุนเป็นไปอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
ดังนั้น “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการรวบรวมข้อมูลจาก บล.ทรีนีตี้ และ บล.เออีซี มานำเสนอโดยทั้ง 2 แห่งได้เน้นกลยุทธ์ลงทุนด้วยความระมัดระวังสำหรับนักลงทุนระยะสั้น ส่วนนักลงทุนระยะกลาง-ยาวยังคงแนะนำให้ Let Profit Run พร้อมใช้จังหวะย่อตัวเข้าซื้อหุ้นเด่น อีกทั้งยังแนะให้น้ำหนักสำคัญกับ Valuation ของ SET Index ซึ่งยังคงอยู่ในระดับสูง ด้วยเหตุนี้ ณ ระดับดัชนีเหนือ 1600 จุด ยังคงแนะนำถือเงินสดในระดับสูงกว่าปกติ แต่หากจำเป็นต้องลงทุนมองกลุ่มหุ้นปลอดภัย อาทิ
กลุ่มหุ้นได้ประโยชน์จากความเชื่อมั่นเศรษฐกิจและผู้บริโภคฟื้นตัว,กลุ่มหุ้นได้ประโยชน์จากลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและนโยบาย,กลุ่มหุ้นที่ครึ่งปีหลังคาดกำไรโตสดใส,กลุ่ม Export-oriented ที่น่าจะได้ประโยชน์หากเงินบาทปรับตัวอ่อนค่า, กลุ่มที่สามารถเก็งกำไรในระยะ 2 สัปดาห์ข้างหน้าจากแรงกดดันในการลดดอกเบี้ยของกนง.เป็นต้น
โดยหุ้นที่ติดอยู่ในกลุ่มดังกล่าวอาทิ SCB, KBANK, KTB, CPALL, ROBINS, HMPRO, BJC, STEC, CK, ITD, UNIQ, WHA, AMATA, TICON, TASCO, SCC, SEAFCO, KAMART, BCH, GFPT, WICE, CPF, TU, GFPT, HANA, KCE, SVI, ANAN, AP, S11 ซึ่งระบุในบทวิเคราะห์ดังนี้
บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า สัปดาห์นี้ติดตามปัจจัยสำคัญที่สุดในสัปดาห์นี้ได้แก่การประชุม FOMC ในวันที่ 19-20 กันยายน ซึ่งจะทราบผลในช่วงดึกคืนวันที่ 20 ตามเวลาไทย โดยมองปัจจัยที่น่าสนใจดังต่อไปนี้
1) Fed จะเริ่มต้นกระบวนการลดขนาดงบดุลตั้งแต่ไตรมาส 4/60 เลยหรือไม่ และหากเริ่มจะเริ่มที่เดือนละ 1 หมื่นล้านเหรียญฯตามที่เคยให้รายละเอียดไว้หรือไม่? โดยในกรณีฐานเรามองว่านักลงทุนส่วนใหญ่ได้ Price in ประเด็นการลดขนาดงบดุลดังกล่าวไปแล้ว ซึ่งไม่น่าจะมีนัยสำคัญอะไรมากนักในปีนี้ เนื่องจากยังเป็นขนาดที่น้อยอยู่
2) Janet Yellen จะมี Surprise ในช่วงแถลงข่าวหรือไม่
3) และที่สำคัญที่สุด Dot plots จะยังยืนยันการขึ้นดอกเบี้ย Fed Funds อีกหนึ่งครั้งในปีนี้หรือไม่ ซึ่งถือเป็นประเด็นสำคัญ เนื่องจากช่วงที่ผ่านมานักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดไม่ได้ให้น้ำหนักกับการขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้อีกแล้ว (สะท้อนจาก Fed Funds futures ที่มีความน่าจะเป็นอยู่เพียง 40%) หาก Dot plots ยังคงยืนยันประเด็นดังกล่าว มองว่าจะทำให้นักลงทุนหันมาเริ่ม Price in จนทำให้ Bond yield และเงินดอลลาร์สหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้นได้ และอาจกระทบกับ Fund flow ในตลาดหุ้นเกิดใหม่ต่อไป
โดยมองประเด็นดังกล่าวอาจทำให้ Bond yield และเงินดอลลาร์สหรัฐฯมี Upside risk ในช่วงถัดไป (ถึงแม้ว่าอาจจะยังไม่มากก็ตาม ตราบใดที่มาตรการปฏิรูปภาษีของสหรัฐฯยังไม่สามารถถูกผลักดันออกมาจากสภา Congress) ซึ่งหาก Imply เป็นกลยุทธ์การลงทุน มองว่านักลงทุนอาจหาทาง Hedging ความเสี่ยงดังกล่าวด้วยการมี Exposure บางส่วนกับหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และกลุ่มอาหาร ซึ่งยังคงเป็นกลุ่มที่ปรับตัว Laggard ตลาดอยู่ จนประเมินว่า Downside risk ค่อนข้างจำกัดแล้ว มองบริษัทที่น่าสนใจในกลุ่มนี้ได้แก่ HANA, KCE, SVI, CPF, TU, GFPT ล่าสุดวันนี้เราออกบทวิเคราะห์ KCE แนะนำ “ถือ” ในเชิงพื้นฐาน แต่อาจมี Upside potential จากราคาทองแดงที่เริ่มปรับตัวลง จนล่าสุดอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 1 เดือน
สำหรับพฤติกรรมของนักลงทุนต่างชาติในตลาดล่วงหน้าเริ่มมีนัยสำคัญอีกครั้ง หลัง Short สุทธิเมื่อวันศุกร์เกือบ 15,000 สัญญา ซึ่งหากดู Open interest ที่ปรับตัวสูงขึ้น 20,000 สัญญา ทำให้เราคาดว่าการ Short ดังกล่าวเป็นการเปิดสถานะใหม่ส่วนใหญ่ จนอาจเป็นปัจจัยจำกัด Upside ของดัชนีในช่วงถัดไป แนะนำจับตาสัญญาณดังกล่าวต่อไปอย่างใกล้ชิด
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน: ยังคงให้น้ำหนักสำคัญกับ Valuation ของ SET Index ซึ่งยังคงอยู่ในระดับสูง นอกจากนั้นยังไม่เห็นสัญญาณการปรับประมาณการ EPS ขึ้นในตลาด ด้วยเหตุนี้ ณ ระดับดัชนีเหนือ 1600 จุดยังคงแนะนำถือเงินสดในระดับสูงกว่าปกติ แต่หากจำเป็นต้องลงทุน มองกลุ่มหุ้นปลอดภัยได้แก่
1) กลุ่ม Export-oriented ที่น่าจะได้ประโยชน์หากเงินบาทปรับตัวอ่อนค่าในช่วงถัดไป ได้แก่ CPF, TU, GFPT, HANA, KCE, SVI
2) กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่น่าจะได้ประโยชน์จากโครงการลงทุนภาครัฐที่มีความชัดเจนมากขึ้น ได้แก่ CK, STEC, UNIQ, SEAFCO
3) กลุ่มที่สามารถเก็งกำไรในระยะ 2 สัปดาห์ข้างหน้าจากแรงกดดันในการลดดอกเบี้ยของกนง. ได้แก่ CPALL, BJC, ANAN, AP, S11
บล.เออีซี ระบุในบทวิเคราะห์ว่า สัปดาห์นี้คาด SETแกว่งตัวระหว่าง 1,640-1,680 จุด โดยแม้ยังคงมีแรงหนุนจาก Fund Flow แต่คาดกรอบขึ้นจำกัดและมีโอกาสพักฐานหลังปรับขึ้นทำ New High ในรอบ 23 ปี และยังมีประเด็นต้องติดตามทั้งความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลีและผลประชุมเฟด
กลยุทธ์ลงทุนสำหรับนักลงทุนระยะสั้นแนะนำ “เก็งกำไรด้วยความระมัดระวัง”โดยกำหนดจุด Stop Loss หาก SET ปิดต่ำกว่า 1,625 จุด ส่วนนักลงทุนระยะกลาง-ยาวยังคงแนะนำให้ Let Profit Run พร้อมใช้จังหวะย่อตัวเข้าซื้อหุ้นเด่น ดังนี้
1) หุ้นได้ประโยชน์จากความเชื่อมั่นเศรษฐกิจและผู้บริโภคฟื้นตัว:กลุ่มธนาคารพาณิชย์ (SCB, KBANK, KTB), กลุ่มค้าปลีก (CPALL, ROBINS, HMPRO, BJC)
2) หุ้นได้ประโยชน์จากลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและนโยบาย EEC: กลุ่มรับเหมา (STEC, CK, ITD, UNIQ), กลุ่มนิคม (WHA, AMATA, TICON), กลุ่มวัสดุ (TASCO, SCC)
3) หุ้นที่ครึ่งปีหลังคาดกำไรโตสดใส: SEAFCO, KAMART, BCH, GFPT, WICE
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน