สปอยล์งบฯ SAWAD สุดหรู! กำไร Q3/60 พุ่งแตะ 700 ลบ. รับยอดสินเชื่อโตกระฉูด
สปอยล์งบฯ SAWAD สุดหรู! กำไร Q3/60 พุ่งแตะ 700 ลบ. รับยอดสินเชื่อโตกระฉูด ด้าน โบรกฯ อัพเป้าใหม่เป็น 80 บาท พร้อมปรับประมาณกำไรเพิ่ม หลังโน้วแนวธุรกิจยังเติบโตต่อเนื่อง
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจแนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ ซึ่งจะเป็นกลุ่มถัดไปที่จะเริ่มทยอยประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3/60 หลังจากที่กลุ่มธนาคารส่วนใหญ่ทำการประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3/60 ออกมาแล้ว โดยพบว่าบริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 1979 จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD เป็นอีกหนึ่งบจ.ที่มีแนวโน้มว่าผลการดำเนินงานงวดดังกล่าวจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
โดยนักวิเคราะห์มองว่า แนวโน้มกำไรของ SAWAD ในช่วงไตรมาส 3/60 จะอยู่ที่ราว 700 ล้านบาท เติบโต 29% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน หนุนโดยสินเชื่อที่เติบโตไปแล้ว 24% จากต้นปีจนถึงปัจจุบัน
นอกจากนี้ยังมีการปรับเพิ่มราคาเป้าหมายใหม่ และปรับประมาณการณ์กำไรเพิ่มขึ้น หลัง SAWAD ไม่ได้มีการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ผ่านมา รวมทั้งยังมีรายได้เพิ่มขึ้นจากบริษัทเงินทุน ศรีสวัสดิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ BFIT ( SAWAD ถือหุ้นอยู่ 36.35%) มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ด้านราคาหุ้น SAWAD ปิดตลาดวานนี้ (19 ต.ค.60) อยู่ที่ 65.75 บาท ปรับขึ้น 0.50 บาท หรือ 0.77% มูลค่าการซื้อขาย 335.87 ล้านบาท โดยราคาหุ้นยังมีอัพไซต์จากราคาเป้าหมายสูงสุดที่นักวิเคราะห์ให้ที่ 80 บาท อยู่ 21.67%
ส่วน นักวิเคราะห์ บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” SAWAD ให้ราคาเป้าหมาย 80 บาทต่อหุ้น มีมุมมองบวกต่อการปรับโครงสร้างองค์กร เนื่องจากจะช่วยลดความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ และช่วยให้ SAWAD สามารถรักษา Leaning Yield ในระดับที่สูงได้ แต่ด้วยธุรกิจที่ชะลอตัวในช่วงการปรับองค์กร จึงคาดว่ากำไรของ SAWAD จะเริ่มเร่งตัวขึ้นจากครึ่งหลังปี 60
ด้วยความเสี่ยงด้านกฎระเบียบกดดันการคิดอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง SAWAD จึงปรับโครงสร้างองค์กรโดยการเข้าซื้อกิจการของ BFIT ซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับใบอนุญาตการลงทุนในทรัสต์ภายใต้การกำกับดูแลของธปท. ซึ่งเป็นธุรกิจที่ช่วยให้ SAWAD สามารถรับเงินฝากและเก็บอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ได้ถึง 36% การปรับโครงสร้างองค์กรครั้งนี้แล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า SAWAD จะถือหุ้นใน BFIT เพียง 36.35% แต่ SAWAD สามารถใช้ประโยชน์จากใบอนุญาตของ BFIT ได้เต็มที่ และคาดว่า ให้ Lending Yield ของ SAWAD จะปรับตัวดีขึ้นจากครึ่งหลังปี 60 และด้วยการปรับโครงสร้างใหม่ จึงมองว่า SAWAD มีโอกาสที่จะได้รับการปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือ ซึ่งน่าจะทำให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทฯ ลดลง นอกจากนี้ BFIT ยังอยู่ในช่วงกระบวนการปรับอันดับความน่าเชื่อถือ ซึ่งคาดว่าน่าจะได้รับอันดับที่ดี เพราะมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง
ทั้งนี้ในช่วงการปรับโครงสร้างองค์กร SAWAD ได้หันไปให้สินเชื่อภายใต้สัญญาเช่าซื้อมากขึ้น ซึ่งกระบวนการนี้ใช้เวลามากขึ้นและอาจมีค่าใช้จ่ายภาษี (ภาษีมูลค่าเพิ่ม) เพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงทำให้ Lending Yield เฉลี่ยของบริษัทฯ ลดลงจาก 27.6% ในปี 59 เป็น 25.9% ในครึ่งปีแรกปี 60 แต่เนื่องจาก SAWAD จะหันกลับมาขยายสินเชื่อภายใต้สัญญาเงินกู้ผ่าน BFIT จึงคาดว่า ให้ Lending Yield จะปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ครึ่งปีหลังปี 60 และแม้ว่าจะสมมติให้มีต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น เนื่องจาก SAWAD ได้ขยายระยะเวลาของการชำระหนี้สินยาวขึ้น แต่เชื่อว่า NIM ได้แตะจุดต่ำสุดแล้วในไตรมาส 2/60
ขณะที่ SAWAD ไม่ได้ตั้งสำรองพิเศษใดๆ และด้วยมีมูลค่าหลักประกันที่สูงกว่าของบริษัท เมืองไทย ลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ MTLS เนื่องจากให้สินเชื่อรถจักรยานยนต์ต่ำกว่า อัตราส่วน loan loss coverage ของ SAWAD จึงต่ำกว่าของ MTLS อย่างมาก และต่ำที่สุดในกลุ่มฯ แม้ว่าบริษัทจะถูกกำหนดให้ตั้งสำรองสูงขึ้นตามข้อกำหนดภายใต้ IFRS9 แต่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อกำไรไม่มากนัก
ทั้งนี้เป็นเพราะเชื่อว่า SAWAD จะรับรู้ค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองพิเศษผ่านทาง ส่วนได้เสียของผู้ถือหุ้น อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนของ SAWAD อยู่ที่เพียง 2 เท่า ณ ไตรมาส 2/60 ในขณะเดียวกันฐานทุนที่ใหญ่ของ BFIT จะช่วยเพิ่มความสามารถในการขยายสินเชื่อของ SAWAD โดยอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนไม่ถูกกดดัน
โดยเห็นโอกาสที่ SAWAD จะได้มาร์จิ้นที่ดีกว่า MTLS จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรขึ้น 8% ต่อปี ในปี 61-64 และด้วยปรับมาใช้ประมาณการปี 61 เป็นปีฐาน ราคาเป้าหมายของจึงปรับขึ้นเป็น 80 บาท จาก 56 บาท และแม้ว่าราคาหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้นแล้ว แต่ SAWAD ยังคงซื้อขายที่ PEG เพียง 0.5 เท่า และด้วยมีความเสี่ยงด้านกฎระเบียบที่ลดลง SAWAD จึงสมควรซื้อขายที่ valuation ที่สูงกว่าของ MTLS
ด้าน นักวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น SAWAD พร้อมปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 75 บาทต่อหุ้น โดยคาดกำไรไตรมาส 3/60 ที่ 700 ล้านบาท (ขึ้น 29% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน และ 11% จากไตรมาสก่อน) หนุนโดยสินเชื่อที่เติบโตไปแล้ว 24% จากต้นปีจนถึงปัจจุบัน ซึ่งใกล้กับประมาณการทั้งปีที่ 32%
ดังนั้นจึงปรับประมาณการการเติบโตของสินเชื่อขึ้นเป็น 37% ในปีนี้ และ 28% ในปีหน้า ส่งผลให้ประมาณการกำไรปรับขึ้นเป็น 2.8 และ 3.5 พันล้านบาท นอกจากนี้ยังมี Upside จากการบริหาร NPA ที่ซื้อมาก่อนหน้านี้ในราคาที่ได้ส่วนลดสูง และโอกาสในการปรับเพิ่ม D/E ratio จาก 4 เท่าในปัจจุบัน ไปได้ถึง 10 เท่า จากการซื้อ BFIT พร้อมปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 75 บาท
ขณะที่ นักวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ถือ” SAWAD ให้ราคาเป้าหมาย 74 บาทต่อหุ้น คาดผลประกอบการเพิ่มขึ้นจากสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น 41% เทียบจากปีก่อนเป็น 2.2 หมื่นล้านบาท รวมทั้งสินเชื่อของ BFIT ที่โต 20% เทียบจากไตรมาสก่อนเป็น 5.5 พันล้านบาท และผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (รวมค่าธรรมเนียม) อยู่ที่ 31.6% คงที่จากช่วงก่อนหน้า
ทั้งนี้ได้ปรับประมาณการของ SAWAD เพิ่มขึ้น 3% สำหรับปี 60 และ 7.8% ในปี 61 และ 5.1% ในปี 62 จาก Credit Cost ที่ลดลง ซึ่ง SAWAD ไม่ได้มีการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ผ่านมา ทำให้ปรับ Credit Cost เป็น 0.9% สำหรับปี 60 และ 1.1% ในปี 61 และ 1.5% ในปี 62 และจากการรวมงบของ BFIT (SAWAD ถือหุ้น 36.4%) ที่มี Loan Loss Coverage ที่ 93.8% ในช่วงไตรมาส 2/60 และ NPL ที่ 4% เทียบกับ Loan Loss Coverage ที่ 61.3% และ NPL ที่ 3.6% ในช่วงไตรมาส 4/59
โดยคาดผลประกอบการไตรมาส 4/60 ที่ 758 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% เทียบจากปีก่อนและ 6% เทียบจากไตรมาสก่อน ตามสินเชื่อในปี 60 ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 40% และคาดว่าสินเชื่อจะโตเฉลี่ย 35% ต่อปี สำหรับ SAWAD และ 30% สำหรับ BFIT ในช่วงปี 61-62
ทั้งนี้จากการประชุมนักวิเคราะห์ BFIT สามารถคิดดอกเบี้ยได้ถึง 36% สำหรับสินเชื่อที่มีหลักประกัน ทำให้ SAWAD สามารถย้ายสินเชื่อที่มีผลตอบแทนสูงไปยัง BFIT (ถือหุ้น 36.4%) โดยอยู่ระหว่างการรอดูแนวโน้มโครงสร้างดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมของพอร์ตนี้ และคาดว่าจะมีการตั้งสำรอง 100% สำหรับสินเชื่อรถยนต์ และที่ดินที่มีการผิดนัดเกิน 4 เดือน (สินเชื่อจักรยานยนต์, เช่าซื้อ และสินเชื่อของ BFIT อยู่ที่ 3 เดือน) ซึ่งอาจจะมีการปรับให้เป็นไปตามกฎของ BoT ภายใน 1-2 ไตรมาสข้างหน้า