เปิด 14 หุ้นเด็ด! มีปัจจัยบวก-เดินหน้า All Time High ต่อเนื่อง
ช่วงนี้ภาวะตลาดหุ้นไทยสดใสและมีหุ้นที่ราคาปรับตัวขึ้นแรงต่อเนื่อง ขณะเดียวกันมีหุ้นที่ราคาปรับตัวสูงสุดนับตั้งแต่เข้าตลาดฯและเดินหน้าทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง “All Time High” ดังนั้น “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการรวบรวมหุ้นกลุ่มดังดังกล่าวจากบทวิเคราะห์ และกราฟราคาหุ้นล่าสุดมานำเสนอเพื่อเป็นทางเลือกในการเข้าลงทุน
ช่วงนี้ภาวะตลาดหุ้นไทยสดใสและมีหุ้นที่ราคาปรับตัวขึ้นแรงต่อเนื่อง ขณะเดียวกันมีหุ้นที่ราคาปรับตัวสูงสุดนับตั้งแต่เข้าตลาดฯและเดินหน้าทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง “All Time High” ดังนั้น “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการรวบรวมหุ้นกลุ่มดังกล่าวจากบทวิเคราะห์ และกราฟราคาหุ้นล่าสุดมานำเสนอเพื่อเป็นทางเลือกในการเข้าลงทุน เนื่องจากหุ้นกลุ่มนี้ยังมีอัพไซด์และมีปัจจัยบวกเข้ามาหนุนทุกตัวโดยหุ้นที่คัดเลือกมามีทั้งหมด 14 ตัว คือ CPN, ROBINS, CENTEL, MACO, WICE, CBG, GPSC, PLANB, WORK, BCPG, EA, RS, MINT และ CKP ดังบทวิเคราะห์ที่ระบุไว้ดังนี้
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ระบุในบทวิเคราะว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นมาแล้วกว่า 150 จุด ก่อนจะเริ่มปรับฐานในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งน่าจะเริ่มเกิดคำถามขึ้นว่า ตลาดหุ้นไทยจะไปต่อหรือไม่ ถ้าไปต่อจะไปได้ไกลถึงแค่ไหน แล้วหุ้นกลุ่มไหน หรือหุ้นตัวไหนยังน่าสนใจและจะเป็นตัวช่วยขับเคลื่อนดัชนี รวมถึงจะมีหุ้นตัวไหนที่จะปรับตัวขึ้นจนทำให้ราคาหุ้นสามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้หรือไม่ (All Time High) จากคำถามต่างๆ ดังกล่าว จึงเป็นที่มาของบทวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์การลงทุนในธีม “All Time High” ฉบับนี้
– เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณเชิงบวก: การท่องเที่ยวและการส่งออกไทยคาดเร่งตัวขึ้นต่อเนื่องจากการเข้าสู่ช่วง High Season ปลายปี ผสานกับสัญญาณการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงการใช้จ่ายภาครัฐฯ ที่เริ่มดูดีขึ้น อีกทั้งภาคการบริโภคเริ่มมีแนวโน้มเชิงบวกถือเป็นอีกแรงขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจไทยเร่งตัวขึ้นต่อเนื่อง
– SET ยังมีแนวโน้มขาขึ้น : คาดปัจจัยบวกต่างๆ ทั้งในและนอก ที่มีสัญญาณที่ดีขึ้น ช่วยหนุน SET อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น โดยประเมินดัชนี SET สิ้นปี 2018 ที่ 1760 จุด ส่ง sentiment เชิงบวกต่อราคาหุ้นต่างๆ ยังมีโอกาสขยับขึ้นต่อเนื่อง
– ปัจจัยบวกขับเคลื่อนราคาหุ้นมีโอกาสทำจุดสูงสุดใหม่:สัญญาณบวกจากภาวะตลาดหุ้นไทยที่อยู่ในแนวโน้มขาขึ้นผสานปัจจัยหนุนเฉพาะตัวของหุ้นหลายๆ ตัวที่ดีขึ้นเทียบกับในอดีต เช่น แนวโน้มกำไรที่เดินหน้าทำจุดสูงสุดใหม่,อัตราการทำกำไรที่สูงขึ้น,การควบรวมกิจการ รวมถึงโครงการต่างๆในอนาคต
กลยุทธ์การลงทุนธีม “All Time High” แนะสะสมกลุ่มที่ราคาหุ้นมีโอกาสจะปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า แนะนำ Big Caps (CPN), Mid Caps (ROBINS,CENTEL),Small caps (MACO, WICE) จากประเด็นสนับสนุนดังต่อไปนี้
CPN : ขยายสาขาต่อเนื่อง,อัตรากำไรสูงขึ้น,ค่าเช่าขยับขึ้น และอัตราเข้าเช่าสูง
ROBINS : กำไรสุทธิทำ All Time High, สาขาเพิ่มขึ้น, อัตราการทำกำไรดีขึ้น
CENTEL : อัตราการเข้าพักเร่งตัวขึ้น และ %SSSG มีสัญญาณการฟื้นตัวแกร่ง
MACO : กำไรทำจุดสูงสุดใหม่, การเปลี่ยนกลยุทธ์การขาย และเก็งการเลือกตั้ง
WICE : คาดกำไรทำจุดสูงสุดใหม่ ผ่านพ้นช่วงการลงทุนใหญ่ รับเศรษฐกิจโลกขาขึ้น
บล.เอเชีย เวลท์ ระบุในบทวิเคราะว่า สำหรับหุ้นแนะนำ ได้แก่ CBG มีเป้าหมายถัดไปของการทำ New High อยู่ที่ 124 บาท (จุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 96 บาท) GPSC มีเป้าหมายสำคัญของการทำ New High อยู่ที่ 65 บาท (จุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 54.75 บาท) PLANB (จากกราฟ) มีเป้าหมายแรกเพื่อทดสอบ High เดิมที่ 7.50 บาท และมีเป้าหมายแรกของการทำ New High อยู่ที่ 8.35 บาท (จุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 6.70 บาท) WORK มีเป้าหมายสำคัญของการทำ New High อยู่ที่ 113.50 บาท (จุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 83.25 บาท)
นอกจากนี้ยังมีหุ้นปรับตัวสูงสุดนับตั้งแต่เข้าตลาดฯและเดินหน้าทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง “All Time High” โดยเห็นได้จากกราฟราคาหุ้นที่นำเสนอดังนี้
บล.เอเซีย พลัส ระบุว่าหุ้น BCPG มีราคาปรับตัวขึ้นทำ All time high และถือเป็นหุ้นในกลุ่มพลังงานทดแทนที่มีปริมาณงานในมือ (Backlog) จำนวนมาก หนุนกำไรเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 3/60 โดดเด่นจากการเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรโรงไฟฟ้าความร้อนใต้พิภพ ในอินโดนีเซีย เป็นไตรมาสแรกและการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (เอฟที) งวดใหม่เดือนก.ย.-ธ.ค.60 อีก 8.87 สตางค์/หน่วย จะช่วยหนุนกำไรปี 60 เติบโตกว่า 70.4% จากปีก่อน
บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะว่า EA เป็นหุ้น growth stock ยังโตสูงต่อเนื่องถึงปี 2019 จากสัญญาในมือที่จะทยอยดำเนินการ และมีโอกาสโตมหาศาลต่อเนื่องจาการขยายธุรกิจสู่แบตเตอรี่เก็บกักพลังงานซึ่งเป็นแนวโน้มของการพัฒนาอุตสาหกรรมไฟฟ้า แนะนำ “ซื้อ” EA พื้นฐาน 46 บาท
บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะว่า RS จากธุรกิจดิจิทัลทีวีที่ดีขึ้นจากเรตติ้งรายการกีฬาและข่าวที่มีเรตติ้งสูงทำให้สามารถปรับราคาค่าโฆษณาเพิ่มขึ้นได้และธุรกิจ Health & Beauty ที่เติบโตเร็วกว่าที่คาดจากการปรับกลยุทธ์ ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” โดยปรับราคาที่เหมาะสมใหม่สะท้อนการปรับประมาณการอยู่ที่ 24 บาท จาก 17.30 บาท
บล.เออีซี ระบุในบทวิเคราะห์ว่า MACO (BUY: Consensus [email protected]): ปี 60-61 คาดกำไรโตเฉลี่ยปีละ 63.3% หนุนด้วยเม็ดเงินโฆษณาในสื่อนอกบ้านที่โตดี (ช่วง 9 เดือนปี 2560 โต 12.7%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน สวนทางอุตสาหกรรมสื่อที่หดตัว 8.7%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) พร้อมแผนขยายสื่อดิจิตอลให้ครอบคลุมพื้นที่ CBD มากขึ้น โดยตั้งเป้าติดตั้งจอ LED เพิ่มอีก 50 จอภายในปี 61 (ณ สิ้นช่วง 3Q60 มี 21 จอ) + Upside 16.3%
บล.ดีบีเอสฯ ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” ERW ให้ราคาเป้าหมาย 7.70 บาทต่อหุ้น โดยคาดว่ากำไรไตรมาส 3/60 ของ ERW เติบโตก้าวกระโดดถึง 42% เทียบจากปีก่อน และ 37.9% เทียบจากไตรมาสก่อนเป็น 79 ล้านบาท สืบเนื่องจากการขยายจำนวนโรงแรมเพิ่ม รายได้สูงขึ้น ตามรายได้เฉลี่ยต่อห้อง (Revpar) อัตรากำไรขั้นต้นมากขึ้น รวมทั้งดอกเบี้ยจ่ายที่ต่ำลง แม้มีการปิดตกแต่งโรงแรม JW Marriott ก็ตาม
บล.เอเชีย เวลท์ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า CKP จำนวนเมกะวัตต์กับมาร์เก็ตแคปยังไม่สมน้ำสมเนื้อกัน มองว่าหุ้นยัง UndervaIue โดยบริษัทเริ่มรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้า BIC 2 คิดเป็น 78 เมกะวัตต์ ตั้งแต่ไตรมาส 3/60 ทำให้สัดส่วนรายได้ CKP เพิ่มขึ้น 20% จากฐานรายได้เดิม
ขณะที่กำลังการผลิตตามส่วนของ CKP ที่ไม่รวมโครงการไซยะบุรีเท่ากับ 502 เมกะวัตต์ แต่หากรวมโครงการไซยะบุรีจะเท่ากับ 888 เมกะวัตต์ โดยช่วงครึ่งหลังปีนี้พ้นภาวะภัยแล้งทำให้เขื่อนน้ำงึม 2 ผลิตไฟฟ้าได้เต็มที่ ตามส่วนที่ CKP ถือคือ 258 เมกะวัตต์ คิดเป็นรายได้ 55% ในปัจจุบัน
ราคาหุ้นคิดตาม SOTP จะได้เท่ากับ 3.94 บาท คิดเป็น DCF ‘ของโรงไฟฟ้าไซยะบุรีเท่ากับ 2.15 บาท และส่วนที่เหลือ 1.79 บาท เป็น DCF โรงไฟฟ้าอื่น ๆ หลังไซยะบุรีเดินเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้าในปี 2563 กำไรของ CKP จะก้าวกระโดด ราคาหุ้นอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (uptrend) เกิดทั้ง daiIy, weekIy และ monthIy buy signaI เป้าหมาย 3.96 บาท และ 4.54 บาท
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน