เปิดกลยุทธ์เด็ด พร้อมชู 8 หุ้นแกร่งประจำเดือนพฤศจิกายน!

ตลาดหุ้นเดือนพฤศจิกายนยังอยู่ในขาขึ้น แต่ฟันด์โฟลว์ที่ยังแกว่ง/เข้าออกเร็ว น่าจะส่งผลให้ความผันผวนอยู่ในระดับสูง พร้อมชู 8 หุ้นเด่นประจำเดือน แนวโน้มผลประกอบการแกร่ง!


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ ได้ทำการสำรวจและรวบรวมบทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์หลายสำนักเกี่ยวกับกลยุทธ์การลงทุนประจำเดือนพฤศจิกายน โดยพบว่านักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการว่าดัชนีในช่วงดังกล่าวจะสามารถปรับตัวขึ้นได้จากแรงซื้อนักลงทุนสถาบันที่จะเข้าซื้อกองทุน LTF-RMF ในช่วงปลายปี

โดยนักวิเคราะห์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ โดยคาดว่าดัชนี SET จะแกว่งตัวขึ้นจากการที่ปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคของโลกมีความชัดเจนมากขึ้น และความคาดหวังว่าภาวะเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นอีกในช่วงที่เหลือของปีนี้รวมทั้งในปี 2561

อย่างไรก็ตามมองว่าเม็ดเงินจากต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอาจจะผันผวนเข้าออกเร็วและทำให้ตลาดแกว่งแรงเหมือนกับช่วงครึ่งหลังของเดือนตุลาคม ทั้งนี้ดัชนีฯ เหลือ upside เพียง 2% ถึงเป้าปีนี้ที่ 1,755 จุด มองว่าประเด็นสำคัญในเดือนนี้คือข่าวการแต่งตั้งประธานเฟดคนใหม่ และความคืบหน้าเรื่องนโยบายการปรับโครงสร้างภาษีของสหรัฐ ซึ่งจะส่งผลต่อดัชนี US dollar index และทิศทางของเม็ดเงินลงทุนในตลาดหุ้นไทยและหุ้นในภูมิภาค

ขณะเดียวกันมองว่าดัชนีฯ มีความเสี่ยงทางลงจำกัด จากแรงซื้อของนักลงทุนสถาบันในประเทศที่เข้าสนับสนุนต่อเนื่อง (ซื้อกองทุน LTF) ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับที่พบในช่วงสิบปีที่ผ่านมา

หุ้นเด่นเดือนพฤศจิกายนหุ้นที่ได้อานิสงส์จากภาวะเศรษฐกิจเร่งตัว และหุ้นงบเด่น มองว่าตลาดหุ้นไทยจะแกว่งตัว sideways up และผันผวนมากขึ้น ดังนั้นนักลงทุนจึงน่าจะเลือกประเด็นการลงทุนในเดือนนี้โดยเน้นหุ้นขนาดกลางที่ธีมโดดเด่น ได้แก่ หุ้นการบริโภคที่ราคายังไม่ได้ขยับขึ้นมามาก, หุ้นท่องเที่ยวที่ราคายังไม่ขยับขึ้นมามาก, หุ้น event play ในธีมที่น่าสนใจจากการประกาศปรับน้ำหนักดัชนี MSCI รอบครึ่งปีซึ่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 16 พ.ย.นี้  และหุ้นที่กำไรสุทธิน่าจะออกมาแข็งแกร่งในงวดไตรมาส 3/2560 แนะนำหุ้นเด่น 8 ตัวด้วยกัน ได้แก่  CPALL, MAJOR, MINT, SAWAD, BCH, COM7, MONO และ SEAFCO

 

ด้านนักวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ ประเมิน SET Index เดือนพฤศจิกายนแกว่งตัว Sideways ในกรอบ 1,680 – 1,750 จุด โดยมีปัจจัยสำคัญที่อาจกำหนดทิศทาง Fund flow ในระยะสั้น ได้แก่

1) การปรับย่อตัวของดัชนีภาคการผลิตทั่วโลก ซึ่งอาจส่งผลกดดันในระยะสั้นต่อราคาโลหะอุตสาหกรรม ราคาหุ้นกลุ่มวัฏจักร และดัชนีค่าระวางเรือ

2) รายชื่อประธาน Fed คนใหม่ ที่น่าจะทราบในช่วงเร็ววันนี้ หากผลออกมาไม่พลิกโผ โดยที่นาย Jerome Powell ได้ถูกรับเลือก ประเมินว่าบรรยากาศการลงทุนทั่วโลกจะยังคงอยู่ในเกณฑ์ดีต่อไป แต่หากเป็นนาย John Taylor จะถือเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อกระแสทุนต่างชาติในตลาดหุ้นเกิดใหม่ เนื่องจากจะทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น

3) พัฒนาการของร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งหากมีความชัดเจนมากขึ้น อาจเป็นปัจจัยกดดันให้มีเงินไหลย้อนกลับเข้าสู่สหรัฐฯในช่วงถัดไป

เบื้องต้นมองว่าหากมีมาตรการช้อปช่วยชาติออกมาจริงในปลายปีนี้ จะช่วยกระตุ้นภาคการบริโภคภายในประเทศได้ส่วนหนึ่ง ซึ่งกลุ่มที่ได้ประโยชน์คงหนีไม่พ้นกลุ่มค้าปลีก ที่กำลังเข้าสู่ช่วงฤดูกาลจับจ่ายใช้สอยด้วย มองหุ้นที่จะได้ประโยชน์สูงคือ บริษัทที่มียอดขายต่อบิลใหญ่ๆ ที่คุ้มค่าแก่การนำมาลดหย่อนภาษี เช่น HMPRO, GLOBAL, ROBINS อย่างไรก็ดี แนะนำติดตามรายละเอียดของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าว เพราะอาจจะมีเงื่อนไขและระยะเวลาต่างไปจากปีที่ผ่านมา

กลยุทธ์การลงทุน: ตลาดหุ้นไทยยังคงถูกขับเคลื่อนด้วยแรงซื้อของนักลงทุนสถาบันในประเทศเป็นหลัก ซึ่งมักจะเป็นผู้ที่ช่วยประคับประคองตลาดในไตรมาสที่ 4 ของทุกปี คาดการณ์ SET Index แกว่งตัวในกรอบ 1,650-1,750 ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ด้วยเหตุนี้จึงแนะนำกลยุทธ์ Selective ต่อไป โดยในระยะสั้นประเมินกลุ่มที่น่าสนใจได้แก่ กลุ่มธนาคารเช่าซื้อ ชิ้นส่วนยานยนต์ ค้าปลีก ส่วนกลุ่มที่น่าสนใจลงทุนระยะยาวได้แก่ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม

Back to top button