13 หุ้นสยองทำเม่าเสียศูนย์! 10 เดือนราคาทรุดเกิน 40%
13 หุ้นสยองทำเม่าเสียศูนย์! 10 เดือนราคาหุ้นทรุดเกิน 40% GL ,AJA ,PACE ,TRITN ,NOK นำทีม
ภาวะดัชนีตลาดหุ้นไทยช่วง 10 เดือนที่ผ่านมาดัชนี SET ปรับตัวขึ้น 11.56% โดยเทียบจากดัชนียืนอยู่ที่ระดับ 1,542.94 จุด (30 ธ.ค. 59) มาอยู่ที่ระดับ 1,721.37 จุด ( 31 ต.ค.60) บวกไป 178.43 จุด อย่างไรก็ตามยังมีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (บจ.) ที่ราคาหุ้นยังปรับตัวลดลงสวนภาวะตลาด
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงได้ทำการสำรวจราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ SET ในรอบ 10 เดือนที่ผ่านมา โดยคัดเลือกราคาหุ้นที่ปรับตัวลงแรงตั้งแต่ระดับ 90% ไปจนถึงระดับเกิน 40% และเป็นบจ.ที่มีสภาพการซื้อขายอย่างสม่ำเสมอ มานำเสนอให้นักลงทุนได้เห็นภาพชัดเจน
โดยครั้งนี้มีหุ้นเข้ามาติดในเกณฑ์ดังกล่าว 13 ตัว ประกอบด้วย GL ,AJA ,PACE ,TRITN ,NOK ,DIGI ,SMT ,NMG ,SOLAR ,STA ,PERM ,STPI และPT
สำหรับการนำเสนอครั้งนี้จะยกตัวอย่าง 5 อันดับแรกดังนี้
อันดับ 1 บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL ราคาหุ้นปรับตัวลดลงจากระดับ 57.25 บาท (ณ 30 ธ.ค.59) มาอยู่ที่ระดับ 7.65 บาท (31 ต.ค.) ลบไป 49.60 บาท หรือลดลง 86.64%
โดยราคาหุ้นปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งผู้สอบบัญชีตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการปล่อยกู้ให้แก่บริษัทย่อย Group Lease Holdings Pte. Ltd (GLH) และ GLH ได้นำเงินดังกล่าวไปปล่อยกู้ให้บริษัทย่อยในสิงคโปร์ และไซปรัส โดยมีการนำหุ้น GL มาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันการกู้ยืม
นอกจากนี้ยังได้รับปัจจัยลบหลังจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวโทษ นายมิทซึจิ โคโนชิตะ อดีตผู้บริหาร GL ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ในความผิดเกี่ยวกับการทุจริตเข้าข่ายเป็นธุรกรรมอำพราง ยักยอกยินยอมให้ลงบัญชีและทำบัญชีไม่ตรงต่อความเป็นจริง โดย ก.ล.ต.ได้แจ้งให้ GL แก้ไขงบการเงิน แบบรายงาน 56-1 และแบบรายงาน 56-2 ให้ถูกต้อง ตรงต่อความเป็นจริงโดยเร็ว
ด้านตลาดหลักทรัพย์ขึ้นเครื่องหมาย NP ไว้จนกว่าบริษัทจะนำส่งงบการเงินฉบับแก้ไข และเผยแพร่ต่อผู้ลงทุนแล้ว หรือจนกว่าจะมีข้อสรุปว่าบริษัทไม่ต้องการงบการเงิน
สำหรับกรณีที่บริษัทไม่สามารถส่งงบการเงินประจำปีหรือไตรมาสตามรอบบัญชีภายในระยะเวลาที่กำหนด ต.ล.ท. จะดำเนินการขึ้นเครื่องหมาย SP ทันทีจนกว่าจะนำส่งงบการเงิน และหากล่าช้าเกิน 180 วัน อาจเข้าข่ายถูกเพิกถอน
อันดับ 2 บริษัท เอเจ แอดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ AJA ราคาหุ้นปรับตัวลดลงจากระดับ 1.92 บาท (ณ 30 ธ.ค.59) มาอยู่ที่ระดับ 0.56 บาท (31 ต.ค.) ลบไป 1.36 บาท หรือลดลง 70.83%
โดยราคาหุ้นปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งบริษัทประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/60 ขาดทุนสุทธิ 127 ล้านบาท ,ไตรมาสที่ 2/60 ขาดทุนสุทธิ 101 ล้านบาท และงวด 6 เดือนปี 60 ขาดทุนสุทธิ 227 ล้านบาท หลังจากที่หุ้น AJA ถูกห้ามซื้อขายเป็นระยะเวลาเกือบ 5 เดือน
อีกทั้งผู้สอบบัญชีมีข้อสังเกตเกี่ยวกับผลกระทบต่อกลุ่มบริษัทจากการเปลี่ยนแปลงทางการบัญชีเรื่องการตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญและการรับรู้รายได้ดอกเบี้ย ส่งผลให้นักลงทุนมีความกังวลและเทขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง
อันดับ 3 บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PACE ราคาหุ้นปรับตัวลดลงจากระดับ 3.36 บาท (ณ 30 ธ.ค.59) มาอยู่ที่ระดับ 1.12 บาท (31 ต.ค.) ลบไป 2.24 บาท หรือลดลง 66.67%
โดยราคาหุ้น PACE ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องหลังจากมีความกังวลเกี่ยวกับหนี้สินหมุนเวียนของบริษัทที่สูงถึง 2 หมื่นล้านบาท ขณะที่มีสินทรัพย์หมุนเวียนเพียง 1.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งอาจส่งผลให้ผิดนัดชำระหนี้กับธนาคารเจ้าของหนี้ได้
นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่ผู้สอบบัญชีไม่ให้ข้อสรุปต่องบการเงินของบริษัทสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2560 โดยมีผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/60 มีกำไรสุทธิ 5.31 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 640.54 ล้านบาท
ขณะที่มีความกังวล เกี่ยวกับการเข้าลงทุนและการกู้ยืมเงินจากกลุ่มผู้ลงทุน 3 ราย ซึ่งได้ลงทุนในบริษัทย่อยของ PACE 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท เพซ โปรเจ็ค วัน จำกัด และ บริษัท เพซ โปรเจ็ค ทรี จำกัด
โดย PACE ได้รับเงินในรูปของการออกหุ้นบุริมสิทธิจำนวน 7,783 ล้านบาท และเงินกู้ยืมจำนวน 658 ล้านบาท ต่อมา PACE ได้เปิดเผยข้อมูลในงบการเงินงวดไตรมาส 2 ปี 2560 ว่า PACE ได้ทำข้อตกลง Consent Conditions Undertaking (CCU) กับผู้ลงทุนทั้ง 3 รายดังกล่าว ซึ่งมีผลให้ PACE มีภาระผูกพันที่จะต้องซื้อหุ้นบุริมสิทธิบางส่วนคืน
อย่างไรก็ตามล่าสุดบริษัทได้ออกมาชี้แจง ว่า บริษัทได้ทำการยกเลิกข้อตกลงสัญญา Consent Conditions Undertaking (CCU) กับกลุ่มผู้ร่วมทุน 3 รายคือ Apollo Asia Sprint Holding Company Limited,Goldman Sachs Investments Holdings (Asia) Limited และ Mercer Investments (Singapore) Pte., Ltd. ซึ่งมีผลผูกพันให้บริษัทต้องรับซื้อหุ้นบุริมสิทธิบางส่วนคืนจากคู่สัญญารวมเป็นเงินจำนวน 3,747.6 ล้านบาท เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ดังนั้น บริษัทฯ จึงไม่มีภาระผูกพันในการดำเนินการซื้อหุ้นบุริมสิทธิกลุ่ม ค ใน บริษัท เพซ โปรเจ็ค วัน จำกัด และ บริษัท เพซ โปรเจ็ค ทรี จำกัด รวมเป็นเงินจำนวน 3,747.6 ล้านบาท จากผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ
อันดับ 4 บริษัท ไทรทัน โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TRITN ราคาหุ้นปรับตัวลดลงจากระดับ 0.48 บาท (ณ 30 ธ.ค.59) มาอยู่ที่ระดับ 0.19 บาท (31 ต.ค.) ลบไป 0.29 บาท หรือลดลง 60.42%
โดยราคาหุ้นปรับตัวลดลงต่อเนื่องหลังจากผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/60 มีผลขาดทุนสุทธิ 24.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากขาดทุนสุทธิ 5.89 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 2/60 ยังมีผลขาดทุนสุทธิ 13.24 ล้านบาท จากปีก่อนขาดทุนสุทธิ 44.66 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปีก่อน
อันดับ 5 บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOK ราคาหุ้นปรับตัวลดลงจากระดับ 7.40 บาท (ณ 30 ธ.ค.59) มาอยู่ที่ระดับ 3.48 บาท (31 ต.ค.) ลบไป 3.92 บาท หรือลดลง 52.97%
โดยราคาหุ้นปรับตัวลดลงต่อเนื่องหลังจากผลการดำเนินงานยังประสบผลขาดทุนสุทธิ โดยล่าสุดในไตรมาส 2/60 มีผลขาดทุนสุทธิ 945.26 ล้านบาท ขณะที่บริษัทได้ทำการเพิ่มทุนโดยจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม การเพิ่มทุนดังกล่าวส่งผลให้ราคาหุ้นเกิด Dilution Effect
*อนึ่งข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน