5 อันดับหุ้นผลงาน Q3/60 ย่ำแย่! ฟากงบฯ 9 เดือนแรกพลิกขาดทุนอ่วม
เปิดชื่อ 5 อันดับหุ้นผลงาน Q3/60 ย่ำแย่! ฟากงบฯ 9 เดือนแรกพลิกขาดทุนอ่วม
หลังจาก “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้นำเสนอข้อมูลผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้น (บจ.) ทั้งผลประกอบการไตรมาส 3/60 พลิกมีกำไร และมีกำไรเพิ่มขึ้น พลิกขาดทุน และกำไรลดลงไปแล้ว ในครั้งนี้จะนำเสนอบจ.ที่มีกำไรในช่วงดังกล่าวอย่างมีนัยสำคัญทั้งหมด 5 อันดับแรก สำหรับบริษัทที่พลิกขาดทุนในไตรมาส 3/60 มีทั้งหมด 5 บจ. ดังตารางประกอบดังนี้
อันดับ 1 บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/60 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.60 (รวมบริษัทย่อย) มีผลขาดทุนสุทธิ 2.61 พันล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 260.34 ล้านบาท ส่วนงวด 9 เดือนมีผลขาดทุนสุทธิ 1.94 พันล้านบาท จากปีก่อนมีกำไรสุทธิ 738.98 ล้านบาท
โดยผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวพลิกขาดทุนเนื่องจาก บริษัทมีการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญของลูกหนี้เงินให้กู้ยืมและดอกเบี้ยค้างรับในงบการเงินรวมมีจำนวน 1.95 พันล้านบาท เกิดจากการตั้งสำรองพิเศษเต็มจำนวนสำหรับเงินให้กู้ยืมเพื่อให้สอดคล้องกับหลักความระมัดระวังและเพื่อเป็นการให้ความร่วมมือกับ ก.ล.ต ในระหว่างที่คดียังไม่ถึงที่สุด
รวมถึงผลขาดทุนจากการตั้งสำรองค่าเผื่อการด้อยค่าเงินลงทุนในบริษัทร่วม มีจำนวน 582.09 ล้านบาท ซึ่งตั้งสำรองโดยอิงจากข้อมูลและเหตุการณ์ที่เน้นในรายงานของผู้สอบบัญชีของบริษัทในไตรมาสก่อน
อันดับ 2 บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPL รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/60 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.60 (รวมบริษัทย่อย) มีผลขาดทุนสุทธิ 466.14 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 141.27 ล้านบาท ส่วนงวด 9 เดือนมีผลขาดทุนสุทธิ 907.85 ล้านบาท จากปีก่อนมีกำไรสุทธิ 581.19 ล้านบาท
โดยผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวพลิกขาดทุนเนื่องจากบริษัทมีผลขาดทุนจากการดำเนินงานปกติ และมีค่าใช้จ่ายจากภาษีเงินได้ ขณะที่งวดเดียวกันของปีก่อนบริษัทมีรายได้จากภาษีเงินได้, อัตราแลกเปลี่ยน และมีกำไรจากการต่อรองราคาซื้อบริษัทย่อย
อันดับ 3 บริษัท ซีเอสพี สตีลเซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CSP รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/60 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.60 (รวมบริษัทย่อย) มีผลขาดทุนสุทธิ 169.89 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 21.75 ล้านบาท ส่วนงวด 9 เดือนมีผลขาดทุนสุทธิ 74.64 ล้านบาท จากปีก่อนมีกำไรสุทธิ 86.75 ล้านบาท
โดยผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวพลิกขาดทุนเนื่องจาก บริษัทมีค่าใช้จ่ายรวม จำนวน 959.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน จำนวน 391.06 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 68.84 สาเหตุหลักเกิดจาก ต้นทุนขาย จำนวน 733.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน เป็นจำนวน 205.51 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 38.90 สาเหตุหลักมาจากต้นทุนวัตถุดิบที่มีความผันผวนของราคาสูง และสอดคล้องกับปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น
อันดับ 4 บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAMART รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/60 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.60 (รวมบริษัทย่อย) มีผลขาดทุนสุทธิ 65.31 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 10.11 ล้านบาท ส่วนงวด 9 เดือนมีผลขาดทุนสุทธิ 218.41 ล้านบาท จากปีก่อนมีกำไรสุทธิ 212.40 ล้านบาท
โดยผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวพลิกขาดทุนเนื่องจากการขาดทุนจากสายธุรกิจ Digital โดยในไตรมาส 3/60 บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการรวม 330 ล้านบาท ปรับตัวลดลงร้อยละ 55 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นผลจากการลดลงของรายได้ของธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ เนื่องจากราคาขายเฉลี่ยต่อเครื่องและจำนวนเครื่องลดลง อีกทั้งสภาวะเศรษฐกิจยังคงชะลอตัว
อันดับ 5 บริษัท ซันไทยอุตสาหกรรมถุงมือยาง จำกัด (มหาชน) หรือ STHAI รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/60 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.60 (รวมบริษัทย่อย) มีผลขาดทุนสุทธิ 32.56 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 16.69 ล้านบาท ส่วนงวด 9 เดือนมีผลขาดทุนสุทธิ 97.69 ล้านบาท จากปีก่อนผลขาดทุนสุทธิ 1.59 ล้านบาท
โดยผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวขาดทุน เนื่องจากบริษัทฯ ได้รับผลกระทบจากต้นทุนผลิตที่สูงขึ้นโดยเฉพาะต้นทุนน้ำยางเข้มข้นที่มีการปรับตัวสูงขึ้นมาจากกิโลกรัมละ 35.40 บาท ในไตรมาสที่ 3/2559 เพิ่มขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 47.56 บาท ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2560
ประกอบกับมีของเสียที่เกิดขึ้นจากวัตถุดิบที่ผสมสารเคมีที่เหลือจากขบวนการผลิต และค่าเชื้อเพลิงที่มีการปรับตัวสูงขึ้น
*อนึ่งข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน