TU รับข่าวดีปฏิรูปภาษีมะกัน-ต้นทุนลด ลุ้นวิ่งเป้าใหม่ 25 บ.

TU รับข่าวดีปฏิรูปภาษีมะกัน-ต้นทุนลด หลังราคาวัตถุดิบปรับตัวลง หนุนกำไรปี 61 F9 ลุ้นวิ่งเป้าใหม่ 25 บ.


สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐมีมติเห็นชอบต่อร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีขั้นสุดท้าย ด้วยคะแนนเสียง 224 ต่อ 201เสียง ก่อนที่จะส่งต่อไปยังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เพื่อลงนามให้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย หลังจากวุฒิสภาลงมติรับรองร่างกฎหมายดังกล่าวเมื่อวานนี้ด้วยคะแนนเสียง 51 ต่อ 48 เสียง โดยร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีขั้นสุดท้ายจะปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ลงสู่ระดับ 21% จากระดับ 35% โดยมีผลบังคับใช้ทันทีในวันที่ 1 ม.ค.61

ดังนั้น บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ซึ่งดำเนินธุรกิจในสหรัฐอเมริกา มีสัดส่วนราว 40% ของรายได้รวมบริษัทจึงน่าจะได้รับผลดีจากประเด็นดังกล่าวด้วย ดังนั้น “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงได้ทำการสำรวจข้อมูลเพิ่มเติม

โดยพบว่า นักวิเคราะห์ ได้ปรับราคาเป้าหมายขึ้น จากประเด็นดังกล่าวจะส่งผลกระทบเชิงบวกต่อ TU ซึ่งจะช่วยหนุนให้กำไรในปี 61 ปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 4% จากที่ประมาณการณ์ไว้ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบวกจากราคาทูน่าที่เริ่มอ่อนตัวลง น่าจะส่งผลให้ TU มีต้นทุนการผลิตลดลง

ขณะเดียวกันราคาหุ้น TU ปิดตลาดวานนี้ (21 ธ.ค.) ทรงตัวที่ 19.20 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 99.18 ล้านบาท ทั้งนี้ยังมีอัพไซด์จากราคาเป้าหมายสูงสุด 25 บาท ที่ 30%

ด้าน นักวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” TU ปรับเป้าราคาเป้าหมาย 25 บาทต่อหุ้น อิง DCF โดยยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” จากปัจจัยบวกด้านภาษีเงินได้ของสหรัฐฯ และการฟื้นตัวของธุรกิจทูน่าที่เป็นปัจจัยกดดันในปัจจุบัน

ทั้งนี้จากประเด็นที่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ มีมติเห็นชอบต่อร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีขั้นสุดท้าย ก่อนที่จะส่งต่อไปยังประธานาธิบดีเพื่อลงนามให้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย ซึ่งมีประเด็นสำคัญคือการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 35% เป็น 21% ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค. 61 ทำให้ TU ซึ่งมีการดำเนินธุรกิจ 1.) ผลิตและจำหน่ายอาหารทะเลกระป๋องภายใต้แบรนด์ Chicken of the sea ผ่านบริษัท Tri-Union Seafoods 2.) นำเข้าและจัดจำหน่ายอาหารทะเลแช่แข็งผ่านบริษัท Tri-Union Frozen Products 3.) ผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์ผ่านบริษัท US Pet Nutrition

โดยรายได้จากธุรกิจในสหรัฐฯ มีสัดส่วนราว 40% ของรายได้รวมบริษัท นอกจากนี้ยังมีการลงทุนในบริษัท Red Lobster Master Holdings ซึ่งประกอบธุรกิจร้านอาหาร Red Lobter ทำให้การปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลดังกล่าวเป็นผลบวกต่อบริษัท

ทั้งนี้ได้ประเมินภายหลังการบังคับใช้อัตราภาษีใหม่จะช่วยหนุนให้กำไรสุทธิปี 61 ของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นราว 300 ล้านบาท หรือคิดเป็นราว 4.2% ของกำไรปี 61 ที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า

นอกจากนี้คาดว่าแนวโน้มราคาทูน่าในปี 61 จะไม่เป็นลักษณะขาขึ้นต่อเนื่องจากระดับสูงในช่วงก่อนหน้าแล้ว โดยเริ่มเห็นสัญญาณการอ่อนตัวลงของราคาบ้างหลังจากในช่วงเดือน พ.ย. ที่ผ่านมาราคาทูน่าปรับลดลงมาเหลือ 2,000 เหรียญต่อตัน เมื่อเทียบกับในเดือน ต.ค. ที่พุ่งขึ้นไปสูงถึง 2,300 เหรียญต่อตัน อีกด้านหนึ่งบริษัทได้มีการเจรจาปรับราคาขายบางส่วน ซึ่งจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นในปี 61 ปรับตัวดีขึ้นได้

ส่วน นักวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 23 บาทต่อหุ้น โดยคาดว่ากำไรผ่านจุดต่ำสุดของปีในไตรมาส 4/60 เพราะเป็น Low Season ส่วนทั้งปีคาดโต 8% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้น่าจะได้เห็นการฟื้นตัวของกำไรตั้งแต่ไตรมาส 1/61 เนื่องจากล่าสุดราคาปลาทูน่าอ่อนตัวลงมาอยู่ที่ US$1,800- US$1,900 ต่อตัน จากระดับสูงสุดในรอบ 4 ปีที่ US$2,300 ต่อตันในต.ค.60 เป็นบวกต่อต้นทุนการผลิตที่ลดลงตั้งแต่ ธ.ค. เป็นต้นไป

ดังนั้นจึงคาดว่ากำไรสุทธิปี61 จะเติบโต 16% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็นการโตดีครั้งแรกในรอบ 4 ปี จากทั้งฐานที่ต่ำในปีก่อน และคาดธุรกิจทูน่า แซลมอน และกุ้งจะกลับมาสดใสอีกครั้ง

นอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้รับผลบวกจากแผนปฏิรูปภาษีของทรัมป์ เพราะธุรกิจ Chicken of the Sea และ Red Lobster อยู่ในสหรัฐฯ และเป็นหนึ่งในหุ้นที่คาดว่าจะถูกทำ Window Dressing

Back to top button