จัด 15 หุ้นทีเด็ด! รับมือ SET เดือนม.ค.ผันผวนจากแรงขาย LTF/RMF

เข้าสู่การลงทุนเดือนมกราคม 2561 “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการรวบรวมกลยุทธ์การลงทุนพร้อมปัจจัยที่ต้องจับตาในการลงทุนมานำเสนอ


เข้าสู่การลงทุนเดือนมกราคม 2561 “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการรวบรวมกลยุทธ์การลงทุนพร้อมปัจจัยที่ต้องจับตาในการลงทุนมานำเสนอ โดยครั้งนี้อาศัยบทวิเคราะห์จากโบรกเกอร์ 3 แห่ง ประกอบด้วย บล.เอเซีย พลัส,บล.เอเชีย เวลท์ และ บล.ทิสโก้ โดยทั้ง 3 โบรกฯชั้นนำของไทยมองทิศทางตลาดหุ้นไทยเดือนนี้เป็นเสียงเดียวกันว่าอาจจะมีแรงเทขายทำกำไรออกมาบ้างจากการขายกองทุน LTF, RMF ซึ่งมักเกิดเป็นประจำทุกปีในช่วงเดือนม.ค.

ดังนั้นจึงได้จัดธีมการลงทุนเพื่อรับมือภาวะดังกล่าวไว้ อาทิ แนะนำขายหุ้นใหญ่ที่ราคาหุ้นปรับขึ้นมามากในปี 60 และสลับมาลงทุนในหุ้นที่ยัง laggard กว่าตลาดฯ อีกทั้งกลุ่มหุ้นหุ้นประเภท Defensive Stock และหุ้นที่มีแนวโน้มของ Earnings ปี 2561 ที่ดีมากต่อเนื่อง รวมทั้งหุ้นที่เกี่ยวข้องกับราคาน้ำมันที่มีการประเมินมูลค่าไม่แพง นอกจากนี้ยังแนะนำหุ้นที่คาดว่างบไตรมาส 4/60 จะออกมาดีและแนวโน้มกำไรปี 61 เติบโตโดดเด่น

โดยกลุ่มหุ้นที่แนะนำให้เข้าลงทุนเดือนมกราคม 2560 และเข้ากับธีมดังกล่าวมีทั้งหมด 15 ตัว คือ SCC, SCB, UNIQ, IRPC, BANPU, BCH, SPALI, BAY, KTB, ROJNA, RS, STA, TPIPP, TU และ TASCO

 

บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า SET มีโอกาสปรับฐานต้นปีจาก LTF ที่ครบ 5 ปีปฏิทิน  อย่างก็ดีในช่วงเดือน ม.ค. 61 ตลาดหุ้นไทยอาจมีอุปสรรคบ้างในการปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีโอกาสถูกแรงเทขายจากนักลงทุนสถาบันฯ ด้วยเหตุผลดังนี้

แรงซื้อจากนักลงทุนสถาบันฯ ที่เข้ามาหนาแน่นกว่าปกติ โดยเฉพาะในเดือน ธ.ค.60  พบว่า สถาบันฯซื้อสุทธิทุกวัน และมีมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 3.0 หมื่นล้านบาท ด้วยแรงซื้อที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว  ทำให้อาจมีแรงขายทำกำไรระยะสั้นช่วงต้นปี

จากสถิติย้อนหลัง 12 ปี พบว่า นักลงทุนมักจะขายคืน LTF ในเดือน ม.ค. มากที่สุด ราว 22% ของการขายคืนทั้งปี โดยพิจารณาเม็ดเงินที่ซื้อ LTF ในปี 2557  จะครบกำหนดการถือครอง และสามารถขายคืนได้ในปี 61 มีมูลค่าสูงถึง 5.63 หมื่นล้านบาท โดยฝ่ายวิจัยฯได้ทำการคำนวณต้นทุนเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักเทียบกับ SET Index เท่ากับ 1530.64 จุด ซึ่งต่ำกว่า SET Index ณ ปัจจุบัน ที่ 1753.71 จุด อยู่มาก ทำให้นักลงทุนที่ซื้อ LTF ในปี 2557 ส่วนใหญ่มีกำไร และโอกาสขายคืนในช่วงต้นปี

ในรอบปี 2560 ที่ผ่านมา นับว่าเป็นปีที่ดีของตลาดหุ้นโลกหลายแห่ง ทั้งตลาดฯ ประเทศพัฒนาแล้ว นำโดย Dow Jones 26%, S&P500 20%, Nikkei 19%, DAX 13%, CAC40 10% และ FTSE100 7%  และตลาดประเทศกำลังพัฒนา นำโดยตลาดหุ้นอินเดีย 28%, ฟิลิปปินส์ 25%, อินโดนีเซีย 20%, ไทย 13.6%, มาเลเซีย 9% และจีน 7%

ในส่วนของของตลาดหุ้นไทย แม้ผลตอบแทนปีนี้จะไม่โดดเด่นนัก แต่หากรวมผลตอบแทน 2 ปี (2559-60) จะสูงถึง 33.4% สูงเป็นลำดับต้นๆ ในภูมิภาค ใกล้เคียงกับอินโดนีเซียที่ 35.3% และดีกว่าอินเดียที่ 30%, ฟิลิปปินส์ 24%, มาเลเซี ย 7% และเป็นรองเพียงตลาดหุ้นสหรัฐ คือ  Dow Jones ที่ 39%

ทั้งนี้ SET Index ปิดปี 2560 ที่ 1753.71 จุด มี P/E ที่ 17.7 เท่า (แต่สิ้นปี 2561 อยู่ที่ 15.4 เท่า)  ซึ่งเป็นระดับที่ค่อนข้างสูง ทำให้คาดว่าช่วงต้นปี 2561 มีโอกาสปรับฐานจากมีแรงขาย LTF ที่ครบกำหนด 5 ปีปฏิทิน  ดังกล่าวข้างต้น

กลยุทธ์การลงทุน ยังคงแนะนำถือหุ้น 50% ของพอร์ต โดยแนะนำขายหุ้นใหญ่ที่ราคาหุ้นปรับขึ้นมามากในปีที่แล้ว และฝ่ายวิจัยยังแนะนำ switch หรือ ขาย เช่น IHL, PCSGH, GPSC, EA, JAS, TOP, CKP, AH, LANNA รวมทั้งหุ้นที่ upside เหลือน้อย หรือราคาหุ้นเกิน Fair Value ไปแล้ว เช่น THANI, BJC, HMPRO และสลับมาลงทุนในหุ้นที่ยัง laggard กว่าตลาดฯ เช่น SCC (FV@B620) SCB (FV@B174) UNIQ (FV@B24) IRPC ([email protected]) BANPU (FV@B26) BCH ([email protected]) SPALI ([email protected])  

 

บล.เอเชีย เวลท์ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ตลาดหุ้นไทยคาดยังคงมีปัจจัยบวกหนุนต่อเนื่องในปี 2561 ตามตลาดต่างประเทศ ที่ถูกคาดการณ์ว่าทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลกในปี 2561 จะยังคงดีต่อไป อย่างไรก็ตามหากดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นสูงต่อไปอาจจะมีแรงเทขายทำกำไรออกมาบ้างจากการขายกองทุน LTF, RMF ซึ่งมักเกิดเป็นประจำทุกปีในช่วงเดือน ม.ค.ดังนั้นยังเลือกหุ้นประเภท Defensive Stock และหุ้นที่มีแนวโน้มของ Earnings ปี 2561 ที่ดีมากต่อเนื่อง โดยเลือก TU,TASCO และ BANPU         

สำหรับ TASCO ราคายางมะตอยในเอเชียขยับตัวขึ้นตามดีมานด์ของ High Season ในไตรมาสที่ 4/60 และ 1/61 ขณะที่ราคาน้ำมันจะปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในช่วงท้ายปี เรายังคาดว่าสเปรดในไตรมาสที่ 1/61 ของ TASCO ยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ดี

ส่วน BANPU ราคาล่าสุดของถ่านหิน New Castle ปรับขึ้นมายืนที่ 102.65 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน เป็นปัจจัยบวกหนุนกำไรของ BANPU ในไตรมาส 1/61 ได้เป็นอย่างดี

ด้าน TU บริษัทรายงานต้นทุนปลาทูน่าในเดือน ธ.ค.60 นี้ ปรับตัวลงเหลือ 1,800 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน เทียบกับเดือน พ.ย. 60 ที่ 2,000 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน และเดือน ต.ค. 60 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของปีที่ 2,300 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน นับเป็นการปรับลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 โดยต้นทุนปลาทูน่าที่ลดลงน่าจะส่งผลบวกเต็มที่ในไตรมาส 1/61

นอกจากนี้บริษัทยังได้รับปัจจัยบวกจากกฎหมายปฏิรูปภาษีของ Trump เนื่องจากมีฐานการผลิตอยู่ในสหรัฐฯ รวมทั้งรายได้และผลประกอบการของ Red Lobster ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ TU มีแนวโน้มเติบโตดีตามภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน เราคาดว่าปัจจัยสนับสนุนเหล่านี้จะช่วยให้บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานในปี 2561 เติบโตประมาณ 19%ราคาเป้าหมาย 23.00 บาท

 

บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ในปี 61เชื่อว่าจะมี 3 สิ่งใหม่เกิดขึ้น คือ (1) วงจรการลงทุนรอบใหม่ (2) การเลือกตั้งครั้งใหม่ และ (3) หุ้นไทยขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ ซึ่งทั้ง 3 สิ่งนี้มีความเชื่อมโยงและเกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน

1) วงจรการลงทุนรอบใหม่ – เครื่องจักรในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจปี 2018 คาดทุกตัวเป็นบวกหมด โดยเรามองเครื่องจักรที่จะเร่งตัวขึ้นมากที่สุด คือ การลงทุนทั้งของภาครัฐและภาคเอกชนเนื่องจาก (1) หลายโครงการใน Action Plan ปี 60 มีความล่าช้า แทนที่จะก่อสร้างได้ในไตรมาส 4/60 เลื่อนเป็นไตรมาส1/61 ทำให้เม็ดเงินลงทุนภาครัฐเลื่อนจากปี 60 เป็นปี 61 (2) มองการผ่านร่าง พ.ร.บ. เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในไตรมาส 1/61 จะเป็นปัจจัยกระตุ้นให้การลงทุนใหม่ใน EEC เริ่มต้นขึ้นในปี 61 เป็นต้นไป (3) การลงทุนภาครัฐทั้งโครงสร้างพื้นฐานและ EEC คาดจะเป็นตัวนำร่องให้การลงทุนภาคเอกชนปรับตัวขึ้นตามมา ผสานกับอัตราการใช้กำลังการผลิต (CAPU) ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นระดับสูงสุดรอบ 4 ปี คาดจะกระตุ้นให้ภาคเอกชนต้องลงทุนเพิ่มด้วย ซึ่ง CAPU มีค่าสหสัมพันธ์ (Correlation) กับดัชนีการลงทุนภาคเอกชน (PII) สูงถึง 0.87

2) การเลือกตั้งครั้งใหม่ – โรดแมปการเลือกตั้งยังคงเดินไปตามกรอบเวลาที่รัฐธรรมนูญกำหนด ซึ่งเรามองว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นได้ในเดือน พ.ย. จากการศึกษาข้อมูลในอดีตพบว่า ในปีที่มีการเลือกตั้ง กระแสเงินทุนต่างประเทศมักเป็นบวก โดยมีโอกาสสูงถึง 70%

3) หุ้นไทยขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ – นอกจากปัจจัยหนุนภายในทั้งการเติบโตของเศรษฐกิจในปี 61 ที่คาดว่าจะโตสูงถึง 4.1% จากการลงทุนที่เร่งตัวขึ้น และโอกาสเกิดการเลือกตั้งขึ้นในช่วงปลายปี ประเมินปัจจัยภายนอกก็ยังเอื้อให้ SET Index สามารถขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ได้ไม่ยาก ทั้งสภาพคล่องโลกยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจนถึงปลายปี 61 (กรณีฐาน), แนวโน้มเศรษฐกิจโลกยังขยายตัวดี โดยในปี 61 คาดว่าจะขยายตัวที่ 3.8% ดีขึ้นจากปี 60 ที่คาดว่าจะขยายตัว 3.7% นำโดยสหรัฐฯ และ (3) อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกในปี 61 ส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง ยกเว้นสหรัฐฯ ที่คาดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องแบบค่อยเป็นค่อยไป ด้วยเศรษฐกิจฟื้นตัวดีรองรับอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นได้ และสภาพคล่องโลกที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอยู่ ทำให้เราเชื่อว่าจะมีการโยกเม็ดเงินออกจากตลาดพันธบัตรเข้าสู่ตลาดหุ้นด้วย

สำหรับการลงทุนในเดือน ม.ค. มองแนวโน้มราคาน้ำมันโดยรวมในช่วง 3-4 เดือนข้างหน้า (ม.ค. – เม.ย.) ยังอยู่ในช่วงแกว่งซิกแซกขึ้นต่อเนื่องจากครึ่งหลังปี 60 อานิสงส์จากการขยายเวลาการตัดลดกำลังการผลิตน้ำมันออกไปจนถึงสิ้นปี 61, การเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้นในปี 61 และปัจจัยด้านฤดูกาล (อิงข้อมูลสถิติ 10 ปีย้อนหลัง โอกาสที่ราคาน้ำมันจะแกว่งขึ้นในช่วงเดือน ม.ค. – เม.ย. มีสูงถึง 70%) เพราะฉะนั้น หุ้นเกี่ยวข้องราคาน้ำมันที่มีการประเมินมูลค่าไม่แพงมีความน่าสนใจในระยะสั้น แนะนำ BANPU, IRPC, STA นอกจากนี้ยังชอบหุ้นที่คาดงบไตรมาส 4/60 จะออกมาดีและแนวโน้มกำไรปี 61  เติบโตโดดเด่น แนะนำ BAY, KTB, ROJNA, RS, TPIPP ส่งผลให้หุ้นเด่นที่แนะนำในเดือน ม.ค. คือ BANPU, BAY, IRPC, KTB, ROJNA, RS, STA, TPIPP

ทั้งนี้ แนะนำให้หาจังหวะสะสมในช่วงครึ่งเดือนแรก หลังมองภาวะตลาดอาจผันผวนจากแรงขาย LTF ครบกำหนด 5 ปี โดยประเมินเม็ดเงิน LTF ครบกำหนด 5 ปีจ่อทยอยขายอยู่ที่ราว 3-9 พันล้านบาท อิงจากการขายออกเฉลี่ยราว 10-30% จากเงินที่ไหลเข้าซื้อในช่วงปี 2014 ที่ประมาณ 2.4 หมื่นล้านบาท โดยเงินก้อนนี้เพิ่มขึ้นราว 20% เป็นเกือบ 3 หมื่นล้านบาทจาก SET Index ที่ปรับตัวขึ้นมาในช่วงเวลาดังกล่าว ด้านแนวรับและแนวต้านสำคัญของ SET Index เดือนนี้อยู่ที่ 1720 – 30, 1710 และ 1760 – 70, 1790 – 1800 จุด ตามลำดับ

 

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button