เปิดสุดยอดหุ้นวิ่งแรงปี 60 ชู 5 ตัวท็อปฟันรีเทิร์นเกิน 100%
ภาวะตลาดหุ้นไทยปี 2560 ที่ผ่านมาดัชนีตลาดหลักทรัพย์ SET ปรับตัวขึ้น 13.66% โดยเทียบจากดัชนียืนอยู่ที่ระดับ 1542.94 จุด (30 ธ.ค. 59) มาอยู่ที่ระดับ 1753.71 จุด ( 29 ธ.ค.60) บวกไป 210.77 จุด โดยแรงซื้อที่เข้ามาหนุนให้ดัชนีพุ่งปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง อาทิ แนวโน้มเศรษฐกิจที่เร่งตัวใน 1-3 ปีข้างหน้า บวกกับการเมืองมีเสถียรภาพหลังรัฐบาลเตรียมเคาะวันเลือกตั้งในปีนี้ช่วยหนุนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและพัฒนาโครงการ EEC มีความต่อเนื่อง
ภาวะตลาดหุ้นไทยปี 2560 ที่ผ่านมาดัชนีตลาดหลักทรัพย์ SET ปรับตัวขึ้น 13.66% โดยเทียบจากดัชนียืนอยู่ที่ระดับ 1542.94 จุด (30 ธ.ค. 59) มาอยู่ที่ระดับ 1753.71 จุด ( 29 ธ.ค.60) บวกไป 210.77 จุด โดยแรงซื้อที่เข้ามาหนุนให้ดัชนีพุ่งปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง อาทิ แนวโน้มเศรษฐกิจที่เร่งตัวใน 1-3 ปีข้างหน้า บวกกับการเมืองมีเสถียรภาพหลังรัฐบาลเตรียมเคาะวันเลือกตั้งในปีนี้ช่วยหนุนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและพัฒนาโครงการ EEC มีความต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันมีแรงซื้อเก็งกำไรในหุ้นที่คาดว่างบปี 2560 จะออกมาดี อาทิ หุ้นแบงก์,พลังงาน,ปิโตรเคมี และเก็งกำไรบริษัทจดทะเบียนในปีหน้าที่เติบโตดีขึ้นรวมทั้งฤดูกาลเม็ดเงิน LTF & RMF ที่มักไหลเข้ามากในไตรมาส 4 ของทุกปี
ดังนั้น“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการสำรวจราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ SET ปี 2560 ที่ผ่านมา โดยครั้งนี้คัดเลือกราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงเกิน 100% โดยครั้งนี้คัดมาเพียง 5 อันดับที่ปรับตัวขึ้นแรงอาทิ RS, ORI, ASIAN, BFIT และ ECL ดังตารางประกอบดังนี้
อันดับ 1 บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นจากระดับ 7.80 บาท (ณ 30 ธ.ค.59) มาอยู่ที่ระดับ 27.75 บาท (29 ธ.ค.60) บวกไป 19.95 บาท หรือเพิ่มขึ้น 255.77% ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นต่อเนื่องทั้งเรื่องแผนธุรกิจที่โดดเด่น และผลประกอบการครึ่งแรกปีนี้ออกมาสดใสเนื่องจากพลิกมีกำไรจากก่อน ขณะเดียวกันโบรกเกอร์แนะนำให้เข้าลงทุนราคาหุ้นจึงทะยานขึ้นแรงในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา
บริษัทกำลังเข้าสู่ช่วงปรับตัวทางธุรกิจครั้งสำคัญเข้าเป็นประเภทธุรกิจพาณิชย์และค้าปลีก (Consumer Product and Retails) ที่สมบูรณ์แบบมากขึ้น โดยมีธุรกิจสื่อเป็นอีกแกนธุรกิจหลักของกลุ่มอาร์เอส และยังทำหน้าที่สนับสนุนการเติบโตธุรกิจสุขภาพและความงามอีกด้วย ซึ่งมั่นใจว่าเดินมาถูกทางปี 60 จะมีรายได้ตามเป้าหมายที่ประกาศไว้ 3.5 พันล้านบาท
นอกจากนั้นบริษัทได้ปรับผังช่อง 8 ในช่วงไตรมาส 3/60 เพื่อเติมความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ซึ่งมั่นใจว่าคอนเทนต์ใหม่จะประสบความสำเร็จผลักดันให้สิ้นปีนี้มีจำนวนสายตาผู้ชม (Eye ball) 5 แสนรายต่อนาที จากปัจจุบัน 3.5 แสนรายต่อนาที
บล.เคจีไอ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า RS (เป้าพื้นฐาน 28.25 บาท) 1) ประเมินราคาหุ้นเริ่มฟื้นตามคาดโดยประเมินแนวรับ 24.7 บาท แนวต้าน 27 บาท และถัดไป 29 บาท (Stop loss 24 บาท) 2)ประเมินแรงเก็งกำไรระยะสั้นใน RS สำหรับผลประกอบการไตรมา 4/60 ที่ลุ้นมีกำไรเพียงรายเดียวในกลุ่มสื่อทีวี (WORK*, MONO*, BEC คาดไตรมาสนี้พลิกขาดทุน) เพราะมีแรงหนุนจากธุรกิจเครื่องสำอาง 3) ประเมินแนวโน้มธุรกิจทีวีปี 2561 สดใส ล่าสุดมีประเด็นข่าวขึ้นค่าโฆษณาและธุรกิจเครื่องสำอางยังเติบโตต่อ โดยฝ่ายวิจัยฯประเมินกำไรปี 2561 โต +170% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน
อันดับ 2 บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นจากระดับ 5.71 บาท (ณ 30 ธ.ค.59) มาอยู่ที่ระดับ 19.30 บาท (29 ธ.ค.60) บวกไป 13.59 บาท หรือเพิ่มขึ้น 238% ราคาหุ้นปรับตัวแรงเนื่องจากหุ้นมีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุนอย่างต่อเนื่องทั้งในเรื่องแผนงาน และบทวิเคราะห์แนะนำให้เข้าลงทุนยิ่งทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นแรง
บริษัทยังคงมั่นใจเป้าหมายยอดขายปี 60 จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้จำนวน 13,000 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปี 60บริษัทมีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 3-4 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 6,000-7,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมีที่ดินรองรับการพัฒนาโครงการแล้วทั้งหมด
บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ตั้งแต่ตลาดฯประกาศหุ้นเข้า SET50/SET100 เมื่อ 13 ธ.ค.60 หุ้นทั้ง 17 ตัวที่เข้าคำนวณทั้ง 2 ดัชนีปรับขึ้นเฉลี่ย 6% มากกว่า SET ที่ขึ้น 4% แต่ ORI ที่เป็นหุ้นพื้นฐานดีกลับยังให้ผลตอบแทนเป็นลบ -1%
ORI ถือเป็นหุ้นที่มี PE2018 และ PEG ต่ำกว่ากลุ่มมาก โดยอยู่ที่เพียง 13 เท่า และ 0.3 เท่า ตามลำดับ คาดกำไรสุทธิไตรมาส 4/60 ทำจุดสูงสุดใหม่ 1.2 พันลบ. +125% เทียบไตรมาสก่อนหน้า, +294% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนและกำไรทั้งปี 60 คาด +231% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่วนปี 61 คาดโตต่ออีก +42.7% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนจาก Backlog สิ้นปีก่อนที่มีกว่า 2.37 หมื่นลบ. และการเริ่มบุกตลาดแนวราบ รวมถึงมี Recurring income จากค่าบริหารโครงการให้ JV แนะนำซื้อราคาเป้าหมาย 27 บาท
อันดับ 3 บริษัท ห้องเย็นเอเชี่ยน ซีฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ ASIAN ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นจากระดับ 3.00 บาท (ณ 30 ธ.ค.59) มาอยู่ที่ระดับ 9.60 บาท (29 ธ.ค.60) บวกไป 6.60 บาท หรือเพิ่มขึ้น 220% ราคาหุ้นปรับตัวแรงเนื่องจากผลประกอบการที่ออกมาสดใส บวกกับแผนงานธุรกิจที่โดดเด่นและโบรกเกอร์แนะนำให้เข้าลงทุนทำให้หุ้นทะยานขึ้นตลอด 10 เดือนที่ผ่านมา
บริษัทคงเป้ารายได้ปี 60 ที่ 1.05 หมื่นล้านบาท เติบโตจากปีก่อนที่มีรายได้ 9.2 พันล้านบาท โดยในช่วงครึ่งแรกปี 60 ทำรายได้แล้ว 4.9 พันล้านบาท ขณะที่มองว่าในช่วงครึ่งหลังปี 60 มีปัจจัยบวก ได้แก่ ยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงจะเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง และเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจอาหารแช่แข็งและอาหารสัตว์ ส่วนธุรกิจทูน่าและจัดจำหน่ายยังคงมีเสถียรภาพ ส่วนความท้าย คือ เงินบาทที่ยังแข็งค่า และจำนวนฟาร์มเลี้ยงกุ้งที่ต่ำกว่าคาด
บริษัทตั้งเป้ารายได้แตะ 1.45 หมื่นล้านบาทภายในปี 63 โดยจะเป็นการเติบโตเฉลี่ยในระดับ 10-12% โดยปรับโครงสร้างรายได้ด้วยการเพิ่มสัดส่วนธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงขึ้นเป็น 28% ของรายได้รวม จากปี 59 อยู่ที่ 20% และธุรกิจจัดจำหน่ายเพิ่มเป็น 7% จากเดิม 5% ส่วนธุรกิจอาหารแช่แข็งจะลดสัดส่วนลงเหลือ 41% จาก 46% ธุรกิจทูน่าลดเหลือ 10% จาก 15% ขณะที่ธุรกิจอาหารสัตว์ยังคงสัดส่วนไว้ที่ 14%
อันดับ 4 บริษัทเงินทุน ศรีสวัสดิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ BFIT ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นจากระดับ 12.19 บาท (ณ 30 ธ.ค.59) มาอยู่ที่ระดับ 38.75 บาท (29 ธ.ค.60) บวกไป 26.56 บาท หรือเพิ่มขึ้น 217.88% โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่บริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 1979 จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD ทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ BFIT
จากนั้นบริษัทมีมติให้เข้าทำสัญญาบริหารจัดการสินเชื่อกับบริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 2014 จำกัด (ศรีสวัสดิ์ 2014) เพื่อรับบริการบริหารจัดการสินเชื่อแบบมีหลักประกันในด้านต่างๆ จากศรีสวัสดิ์ 2014 เพื่อสนับสนุนแผนการขยายธุรกิจสินเชื่อแบบมีหลักประกันของบริษัท ซึ่งจะครอบคลุมการให้บริการสินเชื่อที่สำคัญ ได้แก่ งานบริการด้านสินเชื่อ ,งานบริการรับชำระหนี้ และงานบริการจัดการหนี้
โดยสัญญาบริหารจัดการสินเชื่อดังกล่าว ครอบคลุมระยะเวลาให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.60 ถึงวันที่ 30 มิ.ย.62 รวมทั้งสิ้น 2 ปี คิดเป็นมูลค่าของสัญญาบริการ 1.89 พันล้านบาท ไม่เพียงเท่านั้นนี้บริษัทได้ประกาศงบไตรมาส 3/60 มีกำไร 54.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49.52% จากปีก่อน 36.28 ล้านบาท ยิ่งเป็นแรงหนุนให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง
อันดับ 5 บริษัท ตะวันออกพาณิชย์ลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ ECL ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นจากระดับ 1.62 บาท (ณ 30 ธ.ค.59) มาอยู่ที่ระดับ 4.04 บาท (29 ธ.ค.60) บวกไป 2.42 บาท หรือเพิ่มขึ้น 149.38% ราคาหุ้นปรับตัวแรงเนื่องจากเป็นหุ้นราคาถูกจึงง่ายต่อการดันราคาจึงทำให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรกันอย่างคึกคัก อีกทั้งบทวิเคราะห์แนะนำให้เข้าลงทุนยิ่งทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรง
บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ECL ยอดขายรถ Big Bike และรถยนต์ จากงาน Motor Expo ที่คาดว่าจะเติบโตสูงในปีนี้ เพราะรอบนี้มีการเปลี่ยนรุ่น และออกสินค้าใหม่ เพิ่มขึ้น มองเป็นปัจจัยบวกระยะยาวต่อธุรกิจ ECL เพราะการ ซื้อ หรือเปลี่ยน รถยนต์ และรถ Big Bike ในตลาดมือสอง จะเกิดการขยายตัวสูงขึ้นตามหลังจากนี้
โดยราคาหุ้นที่ปิดสะท้อน P/E ปี 2017-18 ที่ 28 และ 16 เท่า ในขณะที่กลุ่ม (MTLS SAWAD JMT) เทรด PE เฉลี่ยปี 2017-18 ที่ 30 และ 23 เท่า ตามลำดับ ซึ่งราคาหุ้นที่ลงมา สวนทางกับพื้นฐานผลการดำเนินงานที่เติบโตได้ดีตลอดปีนี้ และจะมีพัฒนาการทางธุรกิจที่ดีขึ้นมากในปีหน้า จึงเป็นโอกาสในการ ซื้อ ด้วยราคาเป้าหมาย ปี 2018 ที่ 8 บาท
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน