เปิดชื่อ 9 หุ้นเสี่ยงพักฐาน! โบรกฯแนะเลี่ยงลงทุนหลังราคาเกิน Fair Value
เปิดชื่อ 9 หุ้นเสี่ยงพักฐาน! โบรกฯแนะเลี่ยงลงทุนหลังราคาเกิน Fair Value-Upside จำกัด
ภาวะตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นแรงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปลายปี 2560 ส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (บจ.) ปรับตัวขึ้นอย่างคึกคักตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงนั้น อาจจะเสี่ยงในการเข้าซื้อเพื่อเก็งกำไร เนื่องจากราคาหุ้นบางบริษัทปรับตัวขึ้นจนเกินมูลค่าเหมาะสม
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจข้อมูลราคาเป้าหมายของบจ.ที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นจนเกินมูลค่าที่เหมาะสม หรือราคาเป้าหมายที่นักวิเคราะห์คาดการณ์เอาไว้ ซึ่งเท่ากับว่าราคาหุ้นของบจ.เหล่านี้ มีโอกาสที่จะปรับตัวลงมาสะท้อนมูลค่าที่ควรจะเป็น ขณะที่บางบจ.อาจจะยังสามารถปรับตัวขึ้นได้อีกแต่เริ่มมี Upside จำกัด เมื่อเทียบกับราคาเป้าหมาย
โดย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ (23 ม.ค.2561) คาด SET ยังผันผวนในกรอบ 1,812-1,835 จุด จากความเสี่ยงด้านการเมือง และแรงขายรับงบกลุ่ม Real Sector ที่จะประกาศหลังกลุ่มธนาคารพาณิชย์
ขณะที่ราคาน้ำมันฟื้นตัว ยังประคองดัชนี กลยุทธ์ยังแนะนำขายทำกำไรหุ้นเกิน Fair Value/upside จำกัด (AOT, BJC, TOP, BBL, KBANK, PTTGC, JAS, EA, TRUE) และให้สะสมหุ้น Laggards/ปันผลสูง (SIRI, TMT, TASCO, SCC, CPF, MAJOR) Top picks SIRI([email protected]) และ MCS ([email protected]) และแนะนำขาย AOT (FV@B72) ราคาหุ้นสะท้อนการเติบโตทั้งการเพิ่มพื้นเชิงพาณิชย์ และ Airport City แล้ว(อ่าน Company Update วานนี้)
กลยุทธ์การลงทุนยังให้ขายทำกำไร หรือหลีกเลี่ยงหุ้นที่ราคาเกิน Fair Value ไปแล้ว เช่น KCE, SAPPE, JAS, TVO, PCSGH, IHL, TRUE, LANNA, ICHI, TU, GPSC, EA, GCAP
อันดับที่ 1 บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ราคาเป้าหมายเฉลี่ยจากนักวิเคราะห์อยู่ที่ 68.80 บาท ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบัน (23 ม.ค.2561) อยู่ที่ 69.75 บาท
อย่างไรก็ตาม นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT เปิดเผยว่า บริษัทปรับคาดการณ์จำนวนผู้โดยสารในงวดปี 60/61 (ต.ค.60-ก.ย.61) เป็นเติบโตกว่า 10% จากเดิมคาดเติบโต 5% ทำให้คาดว่ารายได้งวดปี 60/61 จะเติบโตทิศทางเดียวกับอัตราการเติบโตจำนวนผู้โดยสาร ขณะเดียวกันก็คาดว่าจะรักษามาร์จิ้นให้อยู่ในระดับใกล้เคียงงวดปีก่อน ที่ระดับ 58%
ทั้งนี้ เนื่องจากในช่วงไตรมาส 1 ปี 60/61 (ต.ค.-ธ.ค.60) มีจำนวนผู้โดยสารเติบโต 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคาดว่าในไตรมาส 2 จะมีจำนวนผู้โดยสารเติบโตใกล้เคียงในไตรมาสแรก โดยคาดว่าเดือน ก.พ.-มี.ค.จะได้รับผลดีจากช่วงเทศกาลตรุษจีนที่จะหนุนให้มีผู้โดยสารเติบโตต่อเนื่องจากเทศกาลปีใหม่ที่จำนวนผู้โดยสารเกือบทุกท่าอากาศยานทำสถิติใหม่
ขณะเดียวกันบริษัทยังเตรียมเปิดขายซองประกวดราคาประมูลพื้นที่ร้านปลอดภาษีและพื้นที่เชิงพาณิชย์ ในเดือนมี.ค. นี้ และคาดจะประกาศผลในไตรมาส 2/61
อันดับที่ 2 บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC ราคาเป้าหมายเฉลี่ยจากนักวิเคราะห์อยู่ที่ 64.25 บาท ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบัน (23 ม.ค.2561) อยู่ที่ 58.50 บาท
อย่างไรก็ตาม บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 62 บาท/หุ้น โดยยังคงคำแนะนำ “ถือ” ที่ BJC ด้วยราคาเป้าหมายที่ 62.0 บาทเพิ่มขึ้นจาก 56.5 บาทเป็น 33.3 เท่าจาก 31.0 เท่า เชื่อว่าราคาหุ้นปัจจุบันสะท้อนถึงการปรับปรุงทั้ง SSSG และผลการดำเนินงานของธุรกิจการค้าที่ทันสมัย (BigC Supercenter PCL) ในขณะที่เราปรับลดประมาณการกำไรสุทธิในปี 60-61 ราว 13.1% และ 7.9% เป็น 4.8 พันลบ. และ 6.5 พันลบ. เพื่อสะท้อนถึงความล่าช้าของผลประโยชน์ทางภาษีจากการปรับโครงสร้าง บริษัท แต่คาดว่ากำไรสุทธิในปี 2019 ของเราจะเพิ่มขึ้น 2.1% เป็น 7.6 พันล้านบาทจากการรับรู้กำไรขั้นต้นที่ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้จากหน่วยธุรกิจการค้าที่ทันสมัย เราคาดว่ากำไรสุทธิของ BJC ในปี 2017-19E จะเติบโต 19.5% / 32.0% / 17.6% หรือที่ CAGR 3 ปีหรือ 22.9% เราประเมินกำไรไตรมาส 4/60 ที่1.4 พันลบ. เพิ่มขึ้น 16.5% จากปีก่อน และ3.2% จากไตรมาสก่อน ทั้งนี้ บริษัทฯ จะประกาศผลประกอบการในวันที่ 27 ก.พ.2561
อันดับที่ 3 บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ราคาเป้าหมายเฉลี่ยจากนักวิเคราะห์อยู่ที่ 104.4 บาท ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบัน (23 ม.ค.2561) อยู่ที่ 102 บาท
อย่างไรก็ตาม นายอธิคม เติบศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ TOP คาดว่าผลประกอบการปี 60 จะอยู่ในระดับที่ดี หลังอัตราการใช้กำลังการกลั่นที่ระดับ 112% ขณะที่มาร์จิ้นธุรกิจอยู่ในเกณฑ์ดี และต้นทุนการผลิตที่อยู่ในระดับต่ำ ตามทิศทางราคาน้ำมันที่ต่ำ ตลอดจนมีโครงการลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่มีประสิทธิภาพ
ส่วนในปี 61-62 วางแผนจะใช้เงินลงทุนราว 150 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 4.5 พันล้านบาท สำหรับโครงการที่ได้รับอนุมัติแล้วในเรื่องระบบสาธารณูปโภค ส่วนโครงการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ (Clean fuel Project : CFP) มูลค่าไม่เกิน 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์น้ำมันและเพิ่มกำลังการกลั่นเป็น 4 แสนบาร์เรล/วัน จากระดับ 2.75 แสนบาร์เรล/วัน คาดว่าจะตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้ายในไตรมาส 3/61
อันดับที่ 4 ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ราคาเป้าหมายเฉลี่ยจากนักวิเคราะห์ 5 บริษัทอยู่ที่ 233 ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบัน (23 ม.ค.2561) อยู่ที่ 215 บาท
อย่างไรก็ตาม บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 235 บาท/หุ้น โดยมองว่า กำไรต่อหุ้นปี 2560 สูงกว่าที่คาด 4% เนื่องจากรายได้ค่าธรรมเนียมและคุณภาพสินทรัพย์ที่สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ในไตรมาส 4 ปรับประมาณการกำไรปี 2561 ขึ้น 4% จากสมมติฐานรายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้นและสัดส่วนสำรองหนี้สูญต่อสินเชื่อที่ลดลง ส่งผลให้ราคาเป้าหมายอิง GGM ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 235 บาท (P / BV ปี 2561 อยู่ที่ 1.06 เท่า ROE เท่ากับ 10.0% และ COE เท่ากับ 9.6%) ปัจจัยบวกจะมาจากจากการเติบโตของสินเชื่อในปีนี้ รวมทั้งเงินสมทบจากการขายผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตของเอไอเอนับจาก ครึ่งปีแรก 2561 เป็นต้นไป BBL ยังคงเป็นหุ้นเด่นที่เราแนะนำให้ ซื้อ
อันดับที่ 5 ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ราคาเป้าหมายเฉลี่ยจากนักวิเคราะห์ 5 บริษัทอยู่ที่ 244 บาท ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบัน (23 ม.ค.2561) อยู่ที่ 227 บาท
อย่างไรก็ตาม บริษัทหลักทรัพย์ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) แนะนำ “ถือ” KBANK ราคาเป้าหมาย 227 บาท/หุ้น โดยกำไรสุทธิในไตรมาส 4/60 ที่ 5.7 พันล้าน ต่ำกว่าที่คาด 27%
ขณะที่รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยยังคงถูกกดดันจากธุรกิจประกัน อีกทั้งต้นทุนสินเชื่อที่มากกว่าคาดทำให้ตั้งสำรองหนี้สูญเพิ่มขึ้น ขณะที่คาดธุรกิจประกันชีวิตยังคงซบเซาใน 2561-2562 คงคำแนะนำ “ถือ” แต่ปรับราคาเป้าหมายตามวิธี GGM ลงเป็น 227 บาท
ส่วนอันดับที่ 6 บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC ราคาเป้าหมายเฉลี่ยจากนักวิเคราะห์อยู่ที่ 103.90 บาท ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบัน (23 ม.ค.2561) อยู่ที่ 99.75 บาท
,อันดับที่ 7 บริษัทจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS ราคาเป้าหมายเฉลี่ยจากนักวิเคราะห์อยู่ที่ 6.10 บาท ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบัน (23 ม.ค.2561) อยู่ที่ 7.80 บาท
ขณะที่อันดับที่ 8 บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ราคาเป้าหมายเฉลี่ยจากนักวิเคราะห์อยู่ที่ 78.50 บาท ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบัน (23 ม.ค.2561) อยู่ที่ 68.50 บาท และอันดับที่ 9 บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ราคาเป้าหมายเฉลี่ยจากนักวิเคราะห์อยู่ที่ 7.33 บาท ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบัน (23 ม.ค.2561) อยู่ที่ 6.50 บาท