คัดแล้ว! 8 หุ้น Turnaround อัพไซด์สูง-ลุ้นเด้งแรงก่อนแจ้งงบฯปี 60  

“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ที่น่าสนใจต่อการลงทุน โดยเฉพาะบริษัทที่จะพลิกฟื้นธุรกิจกลับมาทำกำไรในไตรมาส 4/60 และปี 2560 โดยเป็นการรวบรวมข้อมูลจากบทวิเคราะห์หลายแห่ง


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ที่น่าสนใจต่อการลงทุน โดยเฉพาะบริษัทที่จะพลิกฟื้นธุรกิจกลับมาทำกำไรในไตรมาส 4/60 และปี 2560 โดยเป็นการรวบรวมข้อมูลจากบทวิเคราะห์หลายแห่ง อาทิ บล.เออีซี, บล.เคจีไอ, บล.เอเชีย เวลท์, บล.ฟินันเซีย ไซรัส และบล.โนมูระ พัฒนสิน อีกทั้งหุ้นเหล่านี้ยังมีอัพไซด์สูง อาทิ RS, SIMAT, SPPT, SQ, K, MM, BANPU และ CMO  ดังตารางประกอบ

โดยบล.เออีซี ระบุในบทวิเคราะห์ฯว่า บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS ธุรกิจ Turnaround ชัดเจน และราคาหุ้นมี Upside น่าสนใจ โดยชอบ RS จากแผนธุรกิจที่น่าสนใจ ด้วยการนำจุดแข็งเดิมด้านสื่อฯ ที่หลากหลาย มาต่อยอดด้วยธุรกิจสุขภาพและความงามที่มีอัตราเติบโตสูง ทำให้ RS กลายเป็นหุ้นกลุ่มสื่อที่มีทั้ง Growth Driver และความสามารถในการกระจายความเสี่ยงที่ดีขึ้น อีกทั้งราคาหุ้นปัจจุบันยังมี Upside 21.9% จากมูลค่าพื้นฐานใหม่ปี 2561 ที่ 32 บาท (วิธี DCF)

ช่วงไตรมาส 4/60 คาด RS พลิกมีกำไรสุทธิ 91 ล้านบาท จากขาดทุน 63 ล้านบาท ในช่วงไตรมาส 4/59  โดยมีปัจจัยหนุน ดังนี้ 1) รายได้รวมคาดโตเด่น 92.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุนด้วยธุรกิจสุขภาพและความงามที่มียอดขายโตก้าวกระโดด หลังเพิ่มสินค้าใหม่ 6 SKU และขยายกำลังให้บริการของ Call Center รองรับคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น พร้อมทำ Out-bound Call กับลูกค้าที่เคยมีประวัติโทรสั่งสินค้ามากขึ้น

ขณะที่รายได้ของธุรกิจดิจิตอลทีวีแม้ได้รับผลจากเม็ดเงินโฆษณาที่ลดลงในช่วงไว้อาลัย แต่คาดไม่รุนแรงเช่นปีก่อน เนื่องจากบริษัทได้วางแผนลดต้นทุน Content ในเดือน ต.ค. และขายโฆษณาล่วงหน้าในรูปแบบ Package รายปีไว้ล่วงหน้า

2) อัตรากำไรขั้นต้นคาดดีขึ้นจาก 10.1% ในช่วงไตรมาส 4/59 เป็น 43.8% หลังมีสัดส่วนรายได้ธุรกิจสุขภาพและความงามเพิ่มขึ้น (มาร์จิ้น 65-70%) อีกทั้งคาดต้นทุนค่าธรรมเนียมใบอนุญาตดิจิตอลทีวีลดลงราว 20 ล้านบาท ตามเกณฑ์ใหม่ของ กสทช. และ 3) SG&A/Sales คาดลดลงเป็น 35.6% จาก 45.5% ในช่วงไตรมาส 4/59 หลังค่าใช้จ่ายเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ลดลง ทำให้คาดปี 2560 พลิกมีกำไรสุทธิ 314 ล้านบาท (ลดลงจากประมาณการเดิม 4.3%) จากขาดทุน 102 ล้านบาทในปี 2559

สำหรับปี 2561 คาดธุรกิจสุขภาพและความงามจะยังโตเด่น หนุนด้วยแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่อีก 30 SKU (Life Star + Partner Product) ซึ่งคาดจะได้รับผลตอบรับดี จากการใช้ประโยชน์จากสื่อที่มีในมือมาโฆษณาสินค้า บวกกับ เตรียมเพิ่มพนักงาน Call Center 120 ที่นั่ง

อีกทั้งล่าสุดบริษัทเปิดตัวธุรกิจใหม่ Life Star Biz รับสมัครตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มช่องจำหน่ายสินค้าแบรนด์ Life Star ซึ่งเรามองว่าจะไม่เกิด Cannibalize กับธุรกิจเดิม เพราะมีการแบ่งตลาดชัดเจน (LSB จะเน้นขายส่งสินค้าประเภท Food Supplement และต้องมียอดสั่งซื้อต่อ Order ค่อนข้างสูงเพื่อรับส่วนลดที่คุ้มค่า)

ขณะที่ธุรกิจดิจิตอลทีวีคาดจะเห็นการฟื้นตัวตั้งแต่ช่วงไตรมาส 1/61 จากเม็ดเงินโฆษณาที่จะเพิ่มขึ้นหลังผ่านช่วงไว้อาลัย บวกกับ การปรับค่าโฆษณาขึ้นเพื่อสะท้อน Rating ของช่อง 8 ที่สูงขึ้นต่อเนื่อง และเริ่มนำรายการที่มี Rating สูงในช่วง Prime Time มาขายในรูปแบบ Package แยก (มาร์จิ้นสูงขึ้น) เพื่อสะท้อนถึงปัจจัยบวกดังกล่าว จึงปรับประมาณการณ์กำไรตั้งแต่ปี 2561 ขึ้นเฉลี่ยปีละ 25.5% โดยภายใต้ประมาณการณ์ใหม่คาดปี 2561 RS จะมีกำไรสุทธิ 899 ล้านบาท โตเด่น 186.5% จากปีที่แล้ว

 

บล.เคจีไอ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท ซิงเกิ้ล พอยท์ พาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SPPT (ยังไม่มีเป้า Consensus) ยังคงประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงานเริ่มต้น Turnaround เป็นกำไรตั้งแต่ไตรมาส 4/60 และปีนี้จะยังคงขายธุรกิจที่ขาดทุนออกต่อเนื่อง (บันทึกกำไรพิเศษ + เงินสดจากการขาย) และซื้อธุรกิจที่มีกำไร+แนวโน้มเติบโตเข้ามาเพิ่ม คือ ธุรกิจรับเหมาฯงานไอที (อนุมัติซื้อแล้ว คาดรับรู้กำไรปลายไตรมาส1/61)

ธุรกิจ Software Logistic (คาดอนุมัติซื้อ ภายไตรมาส1/61) ธุรกิจ Fintehc (คาดอนุมัติซื้อภายในไตรมาส2/61)  ในเชิงกลยุทธ์ราคาย่อลงมาจนใกล้ราคาบิ๊กล๊อตให้นักลงทุนก่อนหน้านี้ บริเวณ 4.5 บาท คาดมีโอกาสรีบาวด์ แนวต้าน 4.8 – 5.0 บาท

บล.เคจีไอ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท ไซแมท เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) SIMAT (ยังไม่มีเป้า Consensus) ยังคงประเมินแนวโน้มธุรกิจปีนี้ Turnaround ต่อเนื่องจากปี 2560 โดยคาดธุรกิจอินเตอร์เนตบรอดแบรนด์เริ่ม Break-even แล้ว จากจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นใกล้ระดับจุดคุ้มทุน + ลงทุนธุรกิจใหม่เน้นรุกสถานประกอบการ ห้างสรรพสินค้า, คอนโดฯ แทนกลุ่มลูกค้าทั่วไป

ขณะที่ธุรกิจ Software Logistic คาดแนวโน้มเติบโตตามภาวะอุตสาหกรรมฯ (ปัจจุบันมีกำไรปีละ 3 – 4 ล้านบาท แล้ว) และธุรกิจชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เป็นธุรกิจที่มีกำไรเด่น หนุนกลุ่มฯมาตลอด ปีนี้คาดจะเริ่มต้นไตรมาสแรกด้วยออเดอร์ iPhone X ที่สายการผลิตล่าช้ามาที่ไตรมาส 1/61 ในเชิงกลยุทธ์ราคาย่อลงมาใกล้ราคาเพิ่มทุน PP ที่ 3.0 บาท ประเมินมีโอกาสรีบาวด์ แนวต้าน 3.4 – 3.5 บาท

โดย SIMAT ยังคงประเมินแนวโน้มธุรกิจปีนี้ Turnaround ต่อเนื่องจากปี 2560 โดยคาดธุรกิจอินเตอร์เนตบรอดแบรนด์เริ่ม Break-even แล้ว จากจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นใกล้ระดับจุดคุ้มทุน + ลงทุนธุรกิจใหม่เน้นรุกสถานประกอบการ ห้างสรรพสินค้า, คอนโดฯ แทนกลุ่มลูกค้าทั่วไป

ขณะที่ธุรกิจ Software Logistic คาดแนวโน้มเติบโตตามภาวะอุตสาหกรรมฯ (ปัจจุบันมีกำไรปีละ 3 – 4 ล้านบาท แล้ว) และธุรกิจชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เป็นธุรกิจที่มีกำไรเด่น หนุนกลุ่มฯมาตลอด ปีนี้คาดจะเริ่มต้นไตรมาสแรกด้วยออเดอร์ iPhone X ที่สายการผลิตล่าช้ามาที่ไตรมาส1/61 ในเชิงกลยุทธ์ ราคาย่อลงมาใกล้ราคาเพิ่มทุน PP ที่ 3.0 บาท ประเมินมีโอกาสรีบาวด์ แนวต้าน 3.4 – 3.5 บาท

บล.เคจีไอ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท สหกลอิควิปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SQ 1) ประเมินแรงขายก่อนหน้านี้จากความกังวลประเด็นแพ้การประมูลเหมืองแม่เมาะเฟส 9 จบแล้ว ราคาหุ้นเริ่มสร้างฐาน ขณะที่ราคาพื้นฐาน (จาก Backlog ปัจจุบันที่มีในมือ 3.6 หมื่นล้านบาท) ไม่รวมงานเหมืองฯ อยู่ที่ 6.60 บาท 2) ฝ่ายวิจัยฯประเมินกำไรไตรมาส 4/60 = 23 ล้านบาท (Turnaround จากขาดทุน 42 ล้านบาทในไตรมาส 3/60) (เป้าพื้นฐาน 6.60 บาท)

 

บล.เอเชีย เวลท์ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า  บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU (ซื้อ-ราคาเป้าหมายของ 12 เดือน เท่ากับ 27.00 บาท) แจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาคดีโครงการหงสาในวันที่ 6 มี.ค. 61 เวลา 9.00 น. และจะแจ้งผลที่ได้ต่อตลาดหลักทรัพย์เมื่อทราบคำตัดสิน ยังคงมีมุมมองเป็นบวกต่อคดีดังกล่าว แม้ว่าตลาดหุ้นจะมีความวิตกกังวลเรื่องคดีหงสา ซึ่งตามสมมติฐาน หาก BANPU ผิดและต้องชดใช้ค่าเสียหายให้ผู้ฟ้องร้อง จะคิดเป็น 5.3 บาทต่อหุ้น

ซึ่งประเมิน Fair Value ของ BANPU ไว้ 27 บาท ยังไม่ได้รวมผลของคดีหงสา ยังมองว่าหากได้รับกระทบราคาไม่ควรต่ำกว่า 21.7 บาท อีกทั้ง ราคา Fair Value ที่ให้ไว้ 27 บาท อ้างอิงราคาถ่านหิน New Castle ที่ 84 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน เป็นค่าเฉลี่ยทั้งปี ได้ EPS ปี 2561 ที่ 2.66 บาท หากราคาถ่านหินปรับสูงทุก ๆ 1 เหรียญ EPS ของ BANPU จะเพิ่มขึ้นทุก ๆ 0.13 บาทต่อหุ้น Fair Value เพิ่มทุก ฯ 1.30 บาทต่อหุ้น อิงค่า PER ที่ 10 เท่า อย่าง Conservative

ปัจจุบันราคาถ่านหินยืนที่ระดับเกิน 100 เหรียญสหรัฐฯ มาเกินกว่าหนึ่งไตรมาสแล้ว เรามองว่าการปรับตัวลงจากความกังวลเรื่องคดีความยังเป็นโอกาสสำคัญในการเข้าซื้อ เนื่องจากเรามั่นใจพื้นฐานการ Turnaround ของกำไรที่มาจากธุรกิจถ่านหินจะให้ผลบวกมากกว่าผลลบจากเรื่องคดีความ

 

บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า  บริษัท ซีเอ็มโอ จำกัด (มหาชน) หรือ CMO ยังแนะนำซื้อราคาเป้าหมาย 3.00 บาท ในฐานะหุ้น Turnaround ที่ราคายังถูก โดยนอกจากจะเคลื่อนไหวใกล้มูลค่าทางบัญชีแล้ว PE2018 ที่ 12 เท่า ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังที่ 17 เท่า และผลตอบแทนจากปันผลสูงถึง 7% ต่อปี โดยระยะสั้นมีปัจจัยหนุนจากผลประกอบการไตรมาส4/60 ที่คาดพลิกมามีกำไรสุทธิ 37 ลบ. จากขาดทุนสุทธิ 23 ลบ. ในไตรมาส 3/60

ส่วนระยะกลางคาดว่ากำไรสุทธิปี 61 จะสูงสุดในรอบ 6 ปี ที่ 44 ลบ. +26% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่การขยายตลาดไปยังงานอีเว้นท์ที่มีความเฉพาะตัว ทำให้ยังมั่นใจว่า CMO จะรักษาส่วนแบ่งการตลาดอยู่ในสองอันดับแรกของอุตสาหกรรมได้ต่อเนื่อง

บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท คิงส์เมน ซี.เอ็ม.ที.ไอ. จำกัด (มหาชน) หรือ K ด้วยจากความสำเร็จในการจัดงานมอเตอร์เอกซ์โป และงานตกแต่งพื้นที่ส่วนกลางที่เร่งปิดได้ทันในช่วงสิ้นปี ทำให้คาดไตรมาส 4/60 จะพลิกมามีกำไรสุทธิ 45 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้ทั้งปี 60 มีแนวโน้มขาดทุนน้อยกว่าคาดการณ์เดิมที่ -55 ล้านบาท

ส่วนปี 61 คาดพลิกมามีกำไรสุทธิ 57 ล้านบาท จากงานตกแต่ง Shop Brand ซึ่งเป็นงานถนัดของ K ที่จะกลับมาขยายตัว ตามห้างเปิดใหม่ที่คาดว่ามีไม่น้อยกว่า 5 แห่ง และโครงการ Mixed-use ขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะเปิด 3 แห่ง ซึ่งนอกจากปริมาณงานที่มากขึ้น จะหนุนให้รายได้ขยายตัวแล้ว ยังส่งผลดีต่ออัตรากำไรตามการแข่งขันที่ลดลงด้วย ราคาปัจจุบันซื้อขายบน PE2018 ที่ 20 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตั้งแต่เข้าตลาดที่ 25 เท่า และต่ำกว่า BKD ที่ 22 เท่า แนะนำซื้อในฐานะหุ้น Turnaround ที่การฟื้นตัวของกำไรเพิ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้น ราคาเป้าหมาย 6.50 บาท

ด้วยการจัดงานแสดงสินค้าและตกแต่งภายในที่ชะลอตัวอย่างมากในช่วง 9 เดือน ปี 60 ประกอบกับเป็นปีที่ K ถูกบันทึกค่าใช้จ่ายย้อนหลัง และมีค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้างองค์กรก้อนใหญ่ ทำให้ผลประกอบการ 9M17 ขาดทุนสุทธิมากถึง 84 ล้านบาท แต่สำหรับ ไตรมาส 4/60 สถานการณ์จะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ

โดยคาดว่า K จะพลิกมามีกำไรสุทธิ 45 ล้านบาท สูงสุดตั้งแต่ตั้งบริษัทมา แรงหนุนมาจากธุรกิจ Exhibition ที่เข้าสู่ช่วง High Season ของงานแสดงสินค้าและการจัดอีเว้นท์เปิดตัวสินค้า Hi-End (ซึ่งมาตามการฟื้นตัวตัวของเศรษฐกิจ และเป็นผลจากงานที่สะสมมาตั้งแต่ปลายปี 59) กอปรกับ ธุรกิจ Interior สามารถปิดงานได้มากขึ้น จากการเร่งรับมอบงานของลูกค้าเพื่อให้เปิดทันปีใหม่ นอกจากนี้คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะเพิ่มเป็น 21.5% จาก -0.9% ใน9 เดือนปี 60

ผลจากแนวโน้มงบ ไตรมาส 4/60 ที่ดีกว่าคาด ทำให้ปรับผลประกอบการปี 60 ขึ้นเล็กน้อยเป็นขาดทุนสุทธิ 39 ล้านบาท จากเดิมคาดขาดทุนสุทธิ 55 ล้านบาท ส่วนกำไรปี 61 ยังคงไว้เท่าเดิมที่ 57 ล้านบาท

คาดว่าปีนี้จะมีห้างเปิดใหม่ไม่น้อยกว่า 5 แห่ง เข่น กลุ่มเซ็นทรัลที่เปิดเฉลี่ยปีละ 2 แห่ง กลุ่มเดอะมอลล์ที่เปิดอีก 1-2 แห่ง และ Terminal พัทยา แต่ที่น่าสนใจคือโครงการ Mixed-use ขนาดใหญ่ ที่รวมทั้งห้าง ออฟฟิส โรงแรม และคอนโดฯ ไว้ด้วยกัน

โดยคาดว่าจะเปิดตัวไม่น้อยกว่า 3 แห่ง เช่น ไอคอน สยาม, โฟร์ซีซั่น ไพรเมท เรสซิเดนซ์, และวิสซ์ดอม 101 ซึ่งมีมูลค่าโครงการรวมกันกว่า 1.1 แสนล้านบาท ทำให้งานตกแต่งทั้ง Shop Brand และพื้นที่ส่วนกลางที่เป็นงานถนัดของ K ซึ่งชะลอตัวในปีก่อน

น่าจะฟื้นกลับมาได้อย่างรวดเร็ว โดยปัจจุบันมี Backlog ราว 500 ล้านบาท คิดเป็น 40% ของคาดการณ์รายได้ทั้งปีนี้ที่ 1,263 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนๆที่ Backlog จะคิดเป็นเพียง 20% ของคาดการณ์ทั้งปี Downside ต่อประมาณการจึงจำกัด

คาดว่า K จะพลิกมามีกำไรทุกไตรมาสในปี 61 เพราะไม่มีค่าใช้จ่ายปรับโครงสร้างองค์กรก้อนใหญ่ และรายได้จะเพิ่มขึ้นจากงานตกแต่งภายในที่อั้นมาจากปีก่อน ขณะที่ ราคาปัจจุบันซื้อขายบน PE2018 ราว 20 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตั้งแต่เข้าตลาดที่ 25 เท่า และต่ำกว่า BKD ที่ทำธุรกิจคล้ายกันมากที่สุดซึ่งอยู่ที่ 22 เท่า จึงแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 6.50 บาท อิง PE Multiplier 25 เท่า 

 

บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท มัดแมน จำกัด (มหาชน) หรือ MM (BUY, TP6.41) Le Grand Vefour มิชลิน 2 ดาวดีกว่าคาด คงแนะนำซื้อคงคำแนะนำซื้อรับการ Turnaround เรายังคงแนะนำซื้อจากภาพรวมของผลการดำเนินงานของบริษัทที่คาดดีขึ้นในไตรมาส 4/60 และสามารถพลิกเป็นกำไรได้ไตรมาสแรก ใน 5 ไตรมาส โดยถึงแม้ว่าจะมีการปรับประมาณการกำไรสุทธิลง 11% ปี 61 และลดลง 3-4% ในปี 62-63 จากการซื้อกิจการ Le Grand Vefour  (มิชลินสตาร์ 2 ดาว) ในฝรั่งเศส แต่น้อยกว่าที่เราคาดเดิม (คาดปรับลด 22%) เนื่องจากจากข้อมูลเพิ่มเติมเราพบว่า Le Grand Vefour มีแนวโน้มผลการดำเนินงานในปีนี้ดีกว่า 3 ปีที่ผ่านมา

ผลการดำเนินงานของกิจการ Le Grand Vefour ดีกว่าคาด จากข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดำเนินงานของกิจการ Le Grand Vefour ร้านอาหารที่ได้รับมิชลินสตาร์ระดับ 2 ดาว อายุกว่า 230 ปี ในประเทศฝรั่งเศส กรุงปารีส ซึ่งบริษัทเข้าซื้อในปลายปี 60 ที่ผ่านมา เรามองว่าผลการดำเนินกิจการดีกว่าคาด เนื่องจากยอดขาย 7 เดือนแรกในปี 60 อยู่ที่ระดับ 2.5 ล้านยูโร ซึ่งคาดว่าทั้งปี จะสามารถทำได้อยู่ที่ระดับ 4.3 ล้านยูโร เริมกลับมาใกล้เคียงผลการดำเนินงานในปี 56 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 4.5 ล้านยูโร ( EBITDA margin 13%, Net profit margin 8%) กำไรสุทธิอยู่ที่ระดับ 14 ล้านบาทเทียบกับมูลค่าซื้อขายอยู่ที่ระดับ PER 25 เท่า ถือว่าไม่แพง

ในขณะที่ยอดขายเฉลี่ยใน 3 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่เพียง 4 ล้านยูโร (EBITDA margin ปี 2014-2015 อยู่ที 9% Net profit margin อยู่ที่ 5%) และในปี 59 มีรายได้อยู่ที่เพียง 3.6 ล้านยูโร เนื่องจากได้รับผลกระทบจากเหตุก่อการร้ายในปลายปี 2015 ซึ่งจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง

โดยทำประมาณการแบบ Conservative คาด EBTDA margin อยู่ที่ระดับ 10% สูงกว่าค่าเฉลี่ยปี 2014-2015 จะทำให้กำไรสุทธิอยู่ระดับ  9.4 ล้านบาทต่อปี แต่บริษัทยังมีค่าใช้จ่ายทางการเงินที่เพิ่มขึ้นอีกราว 10 ล้านบาทในปี 61 และ 11 ล้านบาท ในปี 62 เป็นต้นไป และยังมีค่าใช้จ่ายจากการควบรวมที่จะบันทึกในไตรมาส  4/60 ราว 4 ล้านบาท และไตรมาส 1/61 ราว 2 ล้านบาท  จึงทำให้ปรับคาดการณ์ภาพรวมกำไรสุทธิของบริษัทปี 60-63 ลดลง 3.2,2.6,2 และ 2 ล้านบาทตามลำดับ

 

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button