IRPC ลุ้นกำไรปี 60 ทะยานแตะ 1.3 หมื่นลบ. ขานรับราคาน้ำมันพุ่งทำนิวไฮ

IRPC ลุ้นกำไรปี 60 ทะยานแตะ 1.3 หมื่นลบ. ขานรับราคาน้ำมันพุ่งทำนิวไฮ ฟากโบรกฯ อัพเป้าใหม่ ให้ราคาสูงสุด 9 บาท/หุ้น


“ทีมข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการรวบรวมข้อมูล และบทวิเคราะห์ของ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC หลังเข้าสู่ช่วงประกาศผลประกอบการไตรมาส 4 และงวดปี 2560 โดยนักวิเคราะห์ประเมินว่า กำไรในช่วงไตรมาส 4 ของ IRPC จะอยู่ที่ราว 3.88 พันล้านบาท และงบทั้งปีอยู่ที่ราว 1.07 หมื่นล้านบาท หลังรับประโยชน์เต็มปีจากกำลังการผลิตส่วนขยาย และประสิทธิภาพของโรงงานที่ดีขึ้น

ขณะที่ราคาหุ้น IRPC ปิดตลาดวานนี้อยู่ที่ระดับ 7.40 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง สูงสุดที่ระดับ 7.60 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 7.40 บาท ด้วยมุลค่าการซื้อขาย 2.31 พันล้านบาท

โดยนักวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า หุ้น IRPC ยังเป็นหุ้นที่ชอบสุดในกลุ่มเพราะคาดปีนี้กำไรโตสูงสุด 32% จากปี 59 เป็น 1.33 หมื่นล้านบาท โดยได้รับประโยชน์เต็มปีจากกำลังการผลิตส่วนขยาย ซึ่งเป็นสินค้ามาร์จิ้นสูง และประสิทธิภาพของโรงงานที่ดีขึ้น ทำให้กำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม (GIM) เพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งพาแต่ค่าการกลั่น

ส่วนกำไรในไตรมาส 4/60 มีแนวโน้มดีกว่าคาด รับแรงหนุนจากกำไรจากสต็อกน้ำมัน โดยคาดว่ากำไรจะอยู่ที่ 3.96 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 134% จากงวดปีก่อน

ทั้งนี้ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น IRPC พร้อมปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 9 บาท จากเดิมที่ 7.40 บาท โดยปรับ EV/EBITDA ขึ้นจาก 7.5 เท่า เป็น 8.5 เท่าตามความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่ง รวมถึงมีโอกาสจ่ายปันผลสูงเพราะผ่านยุคการลงทุนขนาดใหญ่ไปแล้ว อีกทั้งปัจจุบันมี PE 11.4 เท่าหรือ PEG เพียง 0.4 ต่ำสุดในกลุ่ม

ส่วนนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี เปิดเผยว่า กำหนดคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น IRPC โดยปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 8.50 บาท จากเดิม 7.20 บาท คาดว่ากำไรสุทธิงวดไตรมาส 4/2560 ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์

โดยคาด IRPC จะมีกำไรสุทธิไตรมาส 4/2560 อยู่ที่ประมาณ 3,884 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 129% จากช่วงเดียวกันในปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,694 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นกำไรรายไตรมาสสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้ภาพรวมทั้งปี 2560 มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 10,725 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นจากช่วงปี 2559 ที่มีกำไรสุทธิ 9,721 ล้านบาท ขณะที่งวดปี 2561 คาดจะมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 13,115 ล้านบาท เติบโตขึ้นอีก 27% จากฐานกำไรสุทธิงวดปี 2560

ด้านนายสุกฤตย์ สุรบถโสภณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ IRPC คาดกำไรสุทธิปี 60 จะดีกว่าปี 59 และดีกว่าเป้าหมายที่วางไว้ โดยโครงการ EVEREST เพื่อเพิ่มขีดความสามารถขององค์กรในทุกด้านนั้นสามารถสร้างกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย, ภาษี (EBIT) ในปีนี้ได้ตามเป้าที่ 7 พันล้านบาท และในปีหน้าคาดว่าจะสร้าง EBIT ได้ 1 หมื่นล้านบาทตามเป้าหมาย

รวมถึงทุกโครงการที่ลงทุนในปีนี้แล้วเสร็จทั้งหมด ทั้งโครงการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ (UHV) ของโรงกลั่นและการขยายกำลังการผลิตโพลีโพรพิลีน (PP) อีก 3 แสนตัน/ปี และโรงไฟฟ้าไออาร์พีซี คลีน เพาเวอร์ ขนาด 240 เมกะวัตต์ แล้วเสร็จ ประกอบกับในปีหน้าจะไม่มีการหยุดซ่อมบำรุงโรงงาน ก็เชื่อว่าจะผลักดันให้กำไรสุทธิในปี 61 ดีกว่าปีก่อน

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของโครงการ EVEREST คงจะไม่สามารถผลักดันให้กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย, ภาษี, ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ได้ตามเป้าหมาย 2.9 หมื่นล้านบาทในปี 63 ทำให้บริษัทต้องหาโครงการใหม่ IRPC 4.0 ซึ่งเป็นการลงทุนด้านเทคโนโลยี ซึ่งจะช่วยต่อยอดให้ทำ EBITDA ได้ตามเป้าในปี 63

นอกจากนี้ บริษัทยังต่อยอดภายใต้โครงการ GDP ซึ่งแบ่งเป็น 1. Power of Growth ซึ่งจะดำเนินการภายใต้โครงการ MARS โดยเป็นการผลิตผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ รวม 1.3 ล้านตัน/ปี ได้แก่ สารพาราไซลีน 1 ล้านตัน/ปี และเบนซีน 3 แสนตัน/ปี มูลค่าลงทุน 1.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งปัจจุบันได้รับการอนุมัติเรื่องการออกแบบด้านวิศวกรรมโครงการ (Front End Engineering Design Process) แล้ว

โดยจะใช้เวลาประมาณ 1 ปี หลังจากนั้นจะออกเอกสารเชิญชวนประมูล ใช้เวลา 6 เดือน ก่อนจะตัดสินใจว่าจะดำเนินโครงการในขั้นสุดท้ายในช่วงกลางปี 62 และใช้เวลาก่อสร้าง 3 ปีครึ่ง แล้วเสร็จทั้งโครงการใช้เวลา 5 ปี ซึ่งจะสร้างอัตราผลตอบแทนสำหรับธุรกิจปิโตรเคมีเป็น 25% จาก 15% ในปัจจุบัน

2.Power of Digital ซึ่งเป็นการลงทุนในโครงการ IRPC 4.0 และ 3. Power of People ซึ่งเป็นการสร้างบุคลากรเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต

นายสุกฤตย์ กล่าวอีกว่า บริษัทตั้งงบลงทุน 5 ปี (ปี 61-65) ที่ระดับกว่า 1 หมื่นล้านบาท โดยยังไม่นับรวมโครงการ MARS และงบการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ซึ่งปัจจุบันบริษัทเริ่มมีผลประกอบการที่ดีขึ้น ทำให้คาดว่าจะมีกระแสเงินสดในช่วง 5 ปีนี้ที่ราว 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมีศักยภาพที่จะมองการลงทุนใหม่ๆ ด้วยการทำ M&A เป็นครั้งแรก และล่าสุดได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาระดับโลกเข้ามาดูโครงการต่าง ๆ โดยคาดว่าน่าจะเห็นเป้าหมายใน 1 เดือนนี้

อีกทั้ง บริษัทยังประเมินทิศทางราคาน้ำมันในปีนี้ที่ระดับ 55-60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แม้ว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวสูงขึ้นในช่วงนี้ แต่มองว่าเป็นเพียงชั่วคราวจากภาวะผิดปกติทั้งสภาพอากาศ และปัญหาในตะวันออกกลาง ขณะที่การผลิต shale gas ยังคงเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม หากรวมงบโครงการ MARS ก็คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 5 ปี กว่า 5 หมื่นล้านบาท

Back to top button