เคาะ 13 หุ้นเด็ด! เน้นพื้นฐานแกร่ง แถมอัพราคาเป้าหมายใหม่
นักวิเคราะห์คาด SET Index ในสัปดาห์นี้จะกลับไปทดสอบ 1,820 จุด โดยมีปัจจัยบวกการประกาศผลประกอบปี 2560กว่า 460 บริษัทจนถึงสิ้นเดือน เป็นตัวกระตุ้นตลาด อย่างไรก็ตามมีหุ้นหลายตัวประกาศผลการดำเนินงานงวดดังกล่าวออกมาอย่างความโดดเด่น และมีแนวโน้มหุ้นที่เหลือจะประกาศผลงานโดดเด่นตามมาหลายตัว
นักวิเคราะห์คาด SET Index ในสัปดาห์นี้จะกลับไปทดสอบ 1,820 จุด โดยมีปัจจัยบวกการประกาศผลประกอบปี 2560กว่า 460 บริษัทจนถึงสิ้นเดือน เป็นตัวกระตุ้นตลาด อย่างไรก็ตามมีหุ้นหลายตัวประกาศผลการดำเนินงานงวดดังกล่าวออกมาอย่างความโดดเด่น และมีแนวโน้มหุ้นที่เหลือจะประกาศผลงานโดดเด่นตามมาหลายตัว
แน่นอนปัจจัยดังกล่าวทำให้โบรกเกอร์ออกมาปรับราคาเป้าหมายหุ้นหลายตัวที่น่าลงทุน ดังนั้น “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการรวบรวมหุ้นดังกล่าวมานำเสนอเพื่อเป็นกลยุทธ์ในการเข้าลงทุนช่วงนี้ สำหรับกลุ่มหุ้นที่มีการปรับตัวราคาเป้าหมายมีทั้งหมด ตัว อาทิ AOT, IRPC, BDMS, EA, ADVANC, PTT, PTTGC, RS, PTTEP, SAPPE, AIT, SF และ IMPACT ตามบทวิเคราะห์ซึ่งระบุไว้ดังนี้
บล.เคทีบี ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/61 (ต.ค.-ธ.ค.60) ที่ 6.22 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 67% เทียบไตรมาสก่อนหน้า ดีกว่าที่เราและตลาดคาด จากภาพรวมการท่องเที่ยวที่ขยายตัวแข็งแกร่ง
โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนที่กลับมาฟื้นตัวสูง โดยจำนวนผู้โดยสาร AOT ปรับตัวเพิ่มขึ้น 13% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 7% เทียบไตรมาสก่อนหน้า และยังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีต่อเนื่อง ทั้งนี้ เราคาดว่ากำไรสุทธิ ไตรมาส2/61 (ม.ค.-มี.ค.61) ยังคงโดดเด่น เนื่องจากเป็นช่วง High Season ของการท่องเที่ยว
โดยมีการปรับคาดการณ์กำไรสุทธิปี 61 (ต.ค.60-ก.ย.61) ขึ้นจากเดิมเล็กน้อยราว 2% เป็น 2.57 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีกว่าคาด ยังคงคำแนะนำ ซื้อ ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 77 บาท จากเดิมที่ 70 บาท
บล.เคทีบี ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC กำไรสุทธิปี 60 ที่ 11.354 พันล้านบาท +11.3% และกำไร4Q18 +81.2%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, -5.5%เทียบไตรมาสก่อนหน้า ดีกว่าคาด 9% ค่าการกลั่นและสเปรดปิโตรเคมีอยู่ในระดับสูง จากราคาน้ำมันและส่วนต่าง olefin spread สูง
จากการเดินหน้าโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์จะทำให้ IRPC จะมีกำไรเติบโตขึ้น 28% ในปี 61 และ 8% ในปี 62 ตามลำดับ โดยในขณะนี้ หน่วยผลิต PPC ยังไม่แล้วเสร็จ คาดว่าจะเสร็จในไตรมาส 1/61 โดย IRPC จะได้รับผลดีจากผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม PP compound ซึ่งจะสามารถทำให้ขยายตลาดไปอุตสาหกรรมยานยนต์และเครื่องมือทางการแพทย์ได้ อนึ่ง IRPC อยู่ระหว่างการพิจารณาโครงการ Beyond Everest เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสายการผลิต Aromatic โดยจะใช้ naphtha ส่วนเกินที่เหลือจากการผลิตเดิม มาทำ paraxylene และ benzene คาดทราบผลประมาณในไตรมาส 1/61จากการเดินหน้าโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและเพิ่มมุลค่าผลิตภัณฑ์จะทำให้ IRPC เดินการผลิตได้มากขึ้น ปรับราคาเป้าหมายจาก 7.6 บาท เป็น 8.2 บาท
บล.เคทีบี ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BDMS มีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มการเติบโตของกำไรปกติ โดยเรามองว่าตั้งแต่ปี 61 เป็นต้นไป กำไรปกติของ BDMS จะกลับมาเติบโตดีขึ้นที่ระดับ 10% ต่อปี ในช่วง 61 และ19 เปรียบเทียบกับการเติบโตที่ระดับต่ำกว่า 5% ในปี 2016 และ17 จากแนวโน้มคนไข้เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีโรคระบาดตั้งแต่ต้นปี และคาดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในไทยจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
โดยเฉพาะชาวจีน คูเวต และ U.A.E ซึ่งทำให้เราปรับกำไรสุทธิปี 61 ขึ้น 6% เป็น 8,845 ล้านบาท เติบโต 11% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ดังนั้นจึงปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ” จาก “ถือ” และปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 25.00 บาท จากเดิมที่ 22.50บาท ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นน้อยกว่าตลาดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยได้รับผลกระทบจากอัตราการเติบโตของกำไรที่ระดับต่ำกว่า 5% ในปี 59 และปี 60
บล.ซีไอเอ็มบี ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน)หรือ EA คาดจะมีกำไรเติบโตเฉลี่ย 29% CAGR ในปี FY17-24 และคาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตจาก 4.2 พันล้านบาทเป็น 2.55 หมื่นล้านบาทในปี FY24 นำโดยวินด์ฟาร์มและธุรกิจแบตเตอรี่ แม้ปรับลดประมาณการกำไรต่อหุ้นของ EA ในปี FY17-19 สะท้อนอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ลดลง 1% ของโซลาร์ฟาร์มเพราะการผลิตไฟฟ้าต่ำกว่าคาดจากฝนที่ตกหนัก
อย่างไรก็ตามปัจจุบันได้รวมกำไรและมูลค่าโรงงานแบตเตอรี่เฟสแรก (1GWh) และบางส่วนของเฟสสอง(15GWh จาก 49GWh) ไว้ในประมาณการ โดยเชื่อว่าการขยายโรงงานแบตเตอรี่ในเฟสสองนับเป็นทางเลือกของ EA ขณะที่ประเมินมูลค่าโครงการอยู่ที่ 92.4 บาทต่อหุ้นในฐานะ call option ยังแนะนำ”ซื้อ” และปรับราคาเป้าหมายตามวิธี SOP ขึ้นเป็น 83 บาทหลังปรับเพิ่มประมาณการกำไรต่อหุ้นและมูลค่าของโรงงานแบตเตอรี่เฟสที่ 1 (1GWh) และ 2 (15GWh)
บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC การตั้งเป้ารายได้ของเซกเมนต์ Enterprise ไว้ที่ร้อยละ 25 ของรายได้จากการบริการ ในปี 2020 ของผู้บริหาร มองว่าน่าจะหมายถึง Inorganic Growth ในส่วนนี้ ภายหลังการประมูลคลื่น
ปรับราคาเป้าหมายเป็น 217 บาท เพื่อสะท้อนแนวทางการดำเนินงานใหม่ในปี 61 ของผู้บริหาร ที่ท้าทายกว่าเดิม รวมถึงการเปลี่ยนรูปแบบการจ่ายค่าสัมปทาน 900 Mhz งวดสุดท้ายในปี 2562 จากจ่ายครั้งเดียว มาเป็นทยอยจ่าย 5 งวด
เปลี่ยนคำแนะนำเป็น ซื้อ เพื่อสะท้อนการที่ผู้บริหารตั้งเป้าหมายรายได้ของเซกเมนต์ Enterprise ที่มี profit margin สูง ผ่าน Synergy กับ CSL ไว้ที่ร้อยละ 25 ของรายได้จากการบริการ ภายในปี 2020 ซึ่งเราเชื่อว่าน่าจะมีการเติบโตแบบ Inorganic Growth ภายหลังการประมูลคลื่น
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เลือกเป็น Top Pick ของกลุ่มพลังงาน เชื่อว่า PTT ยังคงได้ประโยชน์จากการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากธุรกิจสำรวจและผลิต ผ่าน PTTEP รวมถึงธุรกิจจัดหาก๊าซฯ และโรงแยกก๊าซฯ
ขณะที่แผนการนำ PTTOR เข้า IPO ในปี 2562 คาดจะเริ่มเห็นพัฒนาการเชิงบวกต่อเนื่องในปี 2561 และอาจเป็น Catalyst เชิงบวกให้กับ PTT โดยเฉพาะในช่วง 2H61 ยังคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย SOTP ใหม่ เท่ากับ 512 บาท (จาก 477 บาท) อย่างไรก็ตามจากภาวะตลาดที่ผันผวนราคาน้ำมันที่ยืนสูงในช่วงกรอบบนในช่วง 55-65 เหรียญต่อบาร์เรล แนะนำ ทยอยซื้อเมื่ออ่อนตัว
บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC บริษัทประกาศผลการดำเนินงานกำไรสุทธิ 9,559 ล้านบาท -4% เทียบไตรมาสก่อนหน้า, -2% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากด้อยค่าสินทรัพย์ 2,296 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามได้ปรับประมาณการปี 2561 กำไรสุทธิขึ้นมาเป็น 41,359 ล้านบาท จากเดิมที่ 37,046 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 11% จากส่วนแบ่งกำไรที่รับรู้เต็มปี 2561 ซึ่งไตรมาส 4 ปี 2560 บริษัทได้มีการรับรู้กว่า 1,700 ล้านบาท
โดยทำการประเมิน Sensitivity Analysis จากโปรเจคดังกล่าว ด้วย EBITDA ที่ 250-300 $/ton ได้ Upside ต่อหุ้นที่ 7.6 บาท (Figure 2) และคงให้คำแนะนำ Trading Buy ปรับราคาเป้าหมาย 110 บาท จากการปรับกำไรที่เพิ่มขึ้นจาก Equity Sharing ประกาศจ่ายปันผล 2.50 บาท XD 5 มี.ค.61
บล.เคทีบี ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS แนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 35 บาท (อิง DCF) ชอบ Business model ที่นำธุรกิจมีเดียมาต่อยอดในธุรกิจ H&B อีกทั้งการนำเทรนด์วงการทีวีดิจิตอลที่นำซีรี่ส์อินเดียมาฉายในช่วง prime time
คาดว่ากำไรสุทธิ ตรมาส 4/60 ฟื้นตัวเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 83ลบ. หนุนโดยธุรกิจ H &B สำหรับปี 61 เรามองว่า ธุรกิจมีเดียฟื้นตัว RS มีแผนที่จะปรับเปลี่ยนรูปแบบการขายโฆษณาใหม่ เพื่อหลีกเลี่ยงสงครามราคา โดยนำ Airtime ที่เหลือจากการขายโฆษณา มาใช้ในการส่งเสริมการขายในธุรกิจ H &B ซึ่งมี gross profit margin มากกว่า Media ยังคงมองว่า Health & Beauty business ยังคงเป็น Earnings growth driver หลักในระยะยาว เราคาดว่ากำไรสุทธิ 61 จะอยู่ที่ 825 ลบ.เพิ่ม 170% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน
บล.ซีไอเอ็มบี ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ล่าสุด Shell ตกลงขายหุ้น 22.22% ในแหล่งบงกชให้กับ PTTEP ในราคา 750 ล้านเหรียญสหรัฐ บวกภาษีจากกำไร ทั้งนี้ PTTEP ดำเนินงานแหล่งบงกชในอ่าวไทยร่วมกับ Total และ Shell
มองเชิงบวกต่อดีลนี้เพราะมีราคาสมเหตุสมผล ปรับประมาณการกำไรต่อหุ้นขึ้น 4.0-8.6% ในปี FY18-19 สะท้อนปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นและกำไรจากการซื้อหุ้น
สำหรับ PTTEP และ Total คาดจะร่วมกันประมูลสัมปทานแหล่งบงกช ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากการแข่งขันสูง ยังแนะนำ “ซื้อ” PTTEP และปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 144 บาทอิง P/BV 1.3x สะท้อนการปรับเพิ่มประมาณการกำไรเพื่อรับรู้ผลจากดีลนี้
บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA แนวโน้มกำไร ไตรมาส 4/60 ชะลอทั้ง เทียบไตรมาสก่อนหน้าและ เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนเพราะลูกค้าบางส่วนยังต้องการรอความชัดเจนของ กม. EEC ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายใน ไตรมาส 1/61 แต่ก็น่าจะทำให้กำไรสุทธิทั้งปี 60 โตได้ 17% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน
คาดกำไรโตต่อเนื่อง 18% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนในปี 61 จาก Backlog ที่มีเกือบ 2 พันล้านบาท การ COD ของโรงไฟฟ้าอมตะ บี.กริมเพาเวอร์ การโอนที่ดินที่นิคมฯในเวียดนามที่กลับสู่ปกติหลังปัญหาที่ดินคลี่คลาย และอานิสงส์ที่จะได้จากนโยบาย EEC ซึ่งบริษัทมีพื้นที่พร้อมขายกว่า 1 หมื่นไร่ในระยองและชลบุรี ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 30 บาทจาก 27 บาทจากการปรับ PE ขึ้นสะท้อนการเติบโตที่สดใสในระยะยาว ยังแนะนำซื้อ
บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE คาดกำไรปกติปี 60 อยู่ที่ 384 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการทำตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้นมากกว่า 10 ประเทศ โดยเฉพาะปริมาณยอดขายในประเทศอินโดนีเซียที่เพิ่มขึ้นจากการทำโปรโมชั่นของ supply chain ขณะที่ ไตรมาส4/60F เราคาดกำไรปกติอยู่ที่ 72 ล้านบาท (+11%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, -33%เทียบไตรมาสก่อนหน้า)
จากแนวโน้มกำไรสุทธิที่ดีขึ้นจากสัญญาณการส่งออกเริ่มฟื้นตัว แผนการเพิ่มสินค้าใหม่ภายในปีนี้ รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพและค่าใช้จ่ายที่ลดลง ส่งผลกำไรคาดเติบโตต่อเนื่อง ปรับราคาเป้าหมายใหม่อยู่ที่ 36 บาท อ้างอิง PER Sector 25X ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมรวมที่ 32X
บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท แอ็ดวานซ์ อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ AIT ภาพรวมกำไรสุทธิปี 60 ทรงตัว เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่ 431 ล้านบาท เนื่องจากการแข่งขันด้านราคาในอุตสาหกรรมที่สูงทำให้อัตราการทำกำไรลดลง โครงการขนาดใหญ่ที่ถูกเลื่อนประมูลงานมาจากปี 2016-17 มีแนวโน้มจะสามารถผลักดันให้ออกมาได้มากขึ้นในปีนี้ อีกทั้ง Backlog ปัจจุบันเพิ่มขึ้นสูงเป็น 3,000 ล้านบาท
คาดผลประกอบการกลับมาเติบโต 20% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ในปีนี้ ที่ 518 ล้านบาท อีกทั้ง AIT ยังคงเป็นหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสูงต่อเนื่องราว 7% ต่อปี โดยได้ประกาศจ่ายเงินปันผลงวด 2H17 อีก 1.4 บาท/หุ้น กำหนด XD วันที่ 20 เม.ย.18 รวมปี 60 จ่าย 2.05 บาท/หุ้น คิดเป็น Payout Ratio สูงถึง 98% จึงยังคงคำแนะนำ “ถือ” และปรับราคาเป้าหมายปี 61 ขึ้นเป็น 30 บาท
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท สยามฟิวเจอร์ ดีเวลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SF กำไรสุทธิเท่ากับ 1,016 ล้านบาท (+213% เทียบไตรมาสก่อนหน้า และ +429% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) เนื่องจากมีกำไรจากปรับมูลค่ายุติธรรมของโครงการเมกาฟู้ดวอล์คและนางลิ้นจี่ รวมทั้งผลกระทบจากการบันทึกบัญชีจากมาตรฐานบัญชีใหม่ หากไม่รวมรายการดังกล่าว SF มีกำไรปกติ 119 ล้านบาท (-12% เทียบไตรมาสก่อนหน้า, +14% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) ซึ่งต่ำกว่าที่เราคาดการณ์จากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบ เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้เพิ่มขึ้นจากการขยายพื้นที่เช่าโครงการนางลิ้นจี่เมื่อต้นเดือน พ.ย. อีกทั้งส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้นจากการเปิดเมกา ฟู้ดวอล์ค ซึ่งเป็นการขยายพื้นที่เช่า 10,000 ตารางเมตรที่เมกาบางนา เมื่อเดือน ธ.ค. โดยรวมแล้วกำไรปกติปี 2560 เติบโต 12% เป็น 474 ล้านบาท SF ประกาศจ่ายเงินปันผล 0.25 บาท/หุ้น (XD 28 มี.ค.) คิดเป็นอัตราผลตอบแทน 2.6%
คาดกำไรปกติปี 2561 เติบโตดีขึ้นจากการรับรู้รายได้และกำไรเต็มไตรมาสจากการขยายพื้นที่เช่าโครงการนางลิ้นจี่และการเปิดเมกาฟู้ดวอล์ค ตั้งแต่ไตรมาส 4/60 อีกทั้งจะขยายโครงการนางลิ้นจี่เฟส 2 (เปิด 3Q61) และเปิดโครงการใหม่ คือ ดุสิตมาร์เก็ตเพลส (4Q61) รวมทั้งให้เช่าที่ดินบริเวณเมกาบางนาเพื่อเป็น Outdoor Entertainment และโรงเรียนนานาชาติ (2Q61-3Q61) นอกจากนั้น คาด SF มีอัตราเข้าเช่าเพิ่มขึ้นหลังจากโครงการพัทยามีผู้เช่ารายใหม่มาแทนพื้นที่ส่วนหนึ่งที่เคยเป็น Premium Outlet ซึ่งยกเลิกสัญญาเช่าไปเมื่อปลายปี 2559
การเติบโตระยะยาวมาจากการขยายพื้นที่เมกาบางนาเป็น Edutainment (1Q62) และปรับปรุงโครงการทองหล่อ 4 เป็น Mixed use (4Q62) อีกทั้งมีโครงการเมกาซิตี้ และเมการังสิต ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ยังไม่ได้รวมในประมาณการยังคงคำแนะนำ ซื้อ โดยปรับราคาเป้าหมายเพิ่มจาก 9.50 บาท เป็น 10.60 บาท สะท้อนถึงกำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนที่มากกว่าคาดและปรับเพิ่ม PBV จาก 1.6 เท่า เป็น 1.7 เท่า อย่างไรก็ดี ระยะสั้นอาจมี Sell on fact จากการที่ราคาหุ้นได้ปรับขึ้นมาต่อเนื่องแล้วและกำไรปกติต่ำกว่าคาด
บล.กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อิมแพ็คโกรท หรือ IMPACT ยังคงแนะนำ “ซื้อ” และปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 17.2 บาทจาก 15.6 บาท เนื่องจากปรับประมาณการกำไรปกติขึ้นในปี 60-62 คาดแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้นจะทำให้ IMPACT สามารถปรับขึ้นค่าเช่าได้ในปี 61-62
ดังนั้นจึงปรับสมมติฐานอัตราค่าเช่าเฉลี่ยในปี 60-62 ขึ้น 2-5% และส่งผลให้เราปรับประมาณการกำไรปกติขึ้น 8-13% ตามลำดับ นักเศรษฐศาสตร์ของคาดว่าอัตราการเติบโตของ GDP จะเร่งตัวขึ้นเป็น 4.0/4.2% ในปี 2561-62 จาก 3.2/4.0% ในปี 2559-60
นอกจากนี้คาด IMPACT จะให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่น่าสนในปี61-62 ที่ 5.5-5.9% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ 5.0% และด้วยส่วนเพิ่มของคาดการณ์อัตราเงินปันผลตอบแทนเทียบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี ที่กว้างขึ้นในปี 61-62 ยังน่าจะเป็นตัวช่วยพยุงราคาของกองจากปัจจัยลบที่อาจเกิดขึ้นจากแนวโน้มอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่เป็นขาขึ้นในช่วงดังกล่าว
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน