เปิดงบฯหุ้นตระกูลป.ผลงานแจ่ม! แนวโน้ม “Outperform” ดีดรับราคาน้ำมันขาขึ้น

เปิดงบฯปี 60 หุ้นตระกูลปตท.ตัวท็อป ราคาพุ่งปรี๊ดรับผลงานแจ่ม! แนวโน้ม “Outperform” หลังราคาน้ำมันขาขึ้น


ภาวะตลาดหุ้นไทยวานนี้ (26 ก.พ.2561) ปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง โดยคาดว่าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยยังได้แรงหนุนจากกลุ่มพลังงานหลังจากหุ้นในเครือปตท.ทำผลงานประจำปี 2560 ออกมาเติบโตกระฉูด

นอกจากนี้ราคาน้ำมันดิบยังคงปรับตัวขึ้นแรงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ราคาน้ำมันมาอยู่ที่ 60 เหรียญฯ/บาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์ต่างมองว่าราคาน้ำมันดิบยังคงสามารถปรับตัวขึ้นได้อีก ปัจจัยดังกล่าวจึงเป็นตัวหนุนนำราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานโดยเฉพาะในเครือปตท.ให้ปรับตัวขึ้นแรง

ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ จึงได้ทำการสำรวจบทวิเคราะห์ของหุ้นกลุ่มพลังงานที่ประกาศผลประกอบการออกมาเติบโตจากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน ขณะที่แนวโน้มราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นรับปัจจัยบวกราคาน้ำมัน

สำหรับหุ้นที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ประกาศผลการดำเนินงานงวดประจำปี 2560 มีกำไรสุทธิ 135,179 ล้านบาท เติบโต 42% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนมีกำไรสุทธิ 94,609 ล้านบาท

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานประจำ 60 มีกำไรเพิ่มขึ้น เนื่องจากธุรกิจก๊าซธรรมชาติและบริษัทในกลุ่มปตท.และในส่วนของกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นที่ปรับเพิ่มขึ้น เป็นผลจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นทำให้ Accounting GRM เพิ่มขึ้นตามกำไรขั้นต้นจากการกลั่นไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมัน (Market GRM) ที่เพิ่มขึ้นแม้ว่ากำไรจากสต็อกน้ำมันจะปรับลดลง อีกทั้งราคาปิโตรเคมีก็ปรับตัวสูงขึ้นทำให้ Market P2F เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน

อีกทั้งปีนี้ยังมีผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เพิ่มขึ้นจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐฯ

นอกจากนี้บริษัทฯเตรียมจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดในอัตรา 12 บาทต่อหุ้น ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 6 มี.ค. 61 กำหนดจ่ายปันผล 27 เม.ย.61

โดยราคาหุ้น PTT ล่าสุดปิดตลาด ณ วันที่ 26 ก.พ.2561 อยู่ที่ระดับ 566 บาท ปรับตัวขึ้น 28 บาท หรือ 5.20% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 11,503 ล้านบาท

 

ด้าน บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP มีกำไรสุทธิ 20,579 ล้านบาท เติบโต 60% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนมีกำไรสุทธิ 12,859 ล้านบาท

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานประจำปี 60 มีกำไรเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทฯมีรายได้รวมจำนวน 4,523 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปี 59 ที่มีรายได้จำนวน 4,339 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนใหญ่เกิดจากค่าเสื่อมราคาค่าสูญสิ้นและค่าตัดจำหน่ายลดลง จำนวน 429 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

นอกจากนี้บริษัทประกาศจ่ายปันผลจากการดำเนินงานประจำปี 2560 เป็นเงินสดจำนวน 2.75 บาทต่อหุ้น โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD ไม่ได้รับสิทธิปันผลในวันที่ 7 ก.พ.2561 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 12 เม.ย.2561

โดยราคาหุ้น PTTEP ล่าสุดปิดตลาด ณ วันที่ 26 ก.พ.2561 อยู่ที่ระดับ 118 บาท ปรับตัวขึ้น 2.50 บาท หรือ 2.16% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 2,298 ล้านบาท

 

ขณะเดียวกัน บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC มีกำไรสุทธิ 39,298 ล้านบาท เติบโต 54% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนมีกำไรสุทธิ 25,601 ล้านบาท

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานประจำ 60 มีกำไรเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีปริมาณการขายที่เพิ่มมากขึ้นจากประสิทธิภาพการผลิตที่ดีขึ้น ระดับราคาผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น และส่วนแบ่งกำไรจากการเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นจากการเข้าซื้อสินทรัพย์กลุ่มปิโตรเคมีในปีที่ผ่านมา และผลประโยชน์จากโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพทั่วองค์กร

โดยราคาหุ้น PTTGC ล่าสุดปิดตลาด ณ วันที่ 26 ก.พ.2561 อยู่ที่ระดับ 97.50 บาท ปรับตัวขึ้น 2.75 บาท หรือ  2.90% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 2,314 ล้านบาท

 

นอกจากนี้ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC มีกำไรสุทธิ 11354 ล้านบาท เติบโต 17% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนมีกำไรสุทธิ 9720 ล้านบาท

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานประจำปี 60 มีกำไรเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากการขายสุทธิ 197,594 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 17 และเป็นผลจากราคาขายปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมัน รวมทั้งมีกำไรจากสต๊อคน้ำมันจำนวน 3,720 ล้านบาท เนื่องจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

โดยราคาหุ้น IRPC ล่าสุดปิดตลาด ณ วันที่ 26 ก.พ.2561 อยู่ที่ระดับ 7.85 บาท ปรับตัวลดลง 0.05 บาท หรือ  0.63% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 1,060 ล้านบาท

 

ขณะเดียวกันบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC มีกำไรสุทธิ 3,174 ล้านบาท เติบโต 18% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนมีกำไรสุทธิ 2,699 ล้านบาท

พร้อมทั้งประกาศจ่ายปันผลประจำปี 2560 เป็นเงินสด 0.80 บาทต่อหุ้น ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 26 ก.พ. 2561 กำหนดจ่ายเงินปันผล 20 เม.ย. 2561

โดยราคาหุ้น GPSC ล่าสุดปิดตลาด ณ วันที่ 26 ก.พ.2561 อยู่ที่ระดับ 78.25 บาท ปรับตัวขึ้น 2.25 บาท หรือ  2.96% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 466 ล้านบาท

 

นอกจากนี้ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP มีกำไรสุทธิ 24,856 ล้านบาท เติบโต 17% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนมีกำไรสุทธิ 21,221 ล้านบาท

โดยผลการดำเนินงานประจำปี 60 มีกำไรเพิ่มขึ้น เนื่องจากกลุ่มไทยออยล์มีรายได้จากการขาย 337,388 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62,649 ล้านบาท ซึ่งมีปัจจัยจากราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบและปริมาณวัตถุดิบที่ป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตของกลุ่มเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้กลุ่มไทยออยล์มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมัน 9.1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.6 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นผลต่างจากราคาน้ำมันสำเร็จรูปปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะน้ำมันดีเซลและน้ำมันเตาและ Crude Premium ที่ปรับลดลง

พร้อมทั้งยังเตรียมปันผลงวดจากกำไรสะสม เป็นเงินสด 3.75 บาทต่อหุ้น ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 27 ก.พ.61 กำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 27 เม.ย.2561 ทั้งนี้สิทธิในการรับเงินปันผลดังกล่าวยังมีความไม่แน่นอนจนกว่าจะได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 61

โดยราคาหุ้น TOP ล่าสุดปิดตลาด ณ วันที่ 26 ก.พ.2561 อยู่ที่ระดับ 104.50 บาท ปรับตัวขึ้น 4 บาท หรือ  3.98% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 1,385 ล้านบาท

 

ทั้งนี้นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ทรีนีตี้ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ (26 ก.พ.2561) ว่าภาวะน้ำมันดิบสถิติสัปดาห์ล่าสุด (สิ้นสุด ณ วันที่ 20 กุมภาพันธ์) บ่งชี้ว่านักลงทุนประเภท Hedge funds มีการปิดสถานะ Long ในตลาดน้ำมันดิบล่วงหน้าเป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกัน โดยคิดเป็นปริมาณ 22.9 ล้านบาร์เรล หรือมูลค่าราว 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มองเป็นเรื่องที่ดี เนื่องจากคาดว่าปัจจัยกดดันราคาน้ำมันดิบจะลดลงตามลำดับ คาดราคาน้ำมันดิบจะแกว่งตัวในกรอบ 60-70 เหรียญฯ/บาร์เรลในช่วง 1-3 เดือนข้างหน้าต่อไป มองเป็นปัจจัยประคับประคองกลุ่มพลังงานและ SET Index ที่สำคัญ

ทั้งนี้มองว่า กลุ่มพลังงานยังเป็นกลุ่มที่ปลอดภัยจากปัจจัยภายในประเทศด้วยเช่นกัน ภายหลังจากนักลงทุนเริ่มกังวลอีกครั้งว่าการเลือกตั้งจะถูกเลื่อนออกไปจากกำหนดการช่วงต้นปีหน้าอีกหรือไม่ หลังจากที่สนช.ลงมติปัดตกผลคัดเลือกกกต.ชุดใหม่  ซึ่งจากประเด็นความไม่แน่นอนทางการเมืองดังกล่าว คาดกลุ่มที่อิงกับปัจจัยภายนอก เช่น พลังงาน ,ปิโตรเคมี ,อาหาร ,อิเล็กทรอนิกส์ มีโอกาสปรับตัว Outperform กลุ่มที่อิงกับอุปสงค์ภายในประเทศ เช่น ธนาคาร, ค้าปลีก ,ก่อสร้าง ,นิคมอุตสาหกรรม ,ที่อยู่อาศัย ,สื่อและสิ่งพิมพ์ ในระยะสั้น

 

ด้าน บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ (26 ก.พ.2561) ว่า ราคาน้ำมันดิบโลกยังปรับขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุดราคาน้ำมันดูไบอยู่ที่ 64 เหรียญฯต่อบาร์เรล และมีโอกาสแตะ 65 เหรียญฯ ไม่ยากนัก  นอกจากสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐที่รายงานในสัปดาห์ล่าสุด ลดลงครั้งแรก หลังจากที่เพิ่มขึ้นติดต่อกัน 3 สัปดาห์ก่อนหน้า  แล้ว ปัญหาด้านแหล่งผลิตที่กลับมาสร้างความกังวลคือ  ลิเบียซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันดิบราว  9.8 แสนบาร์เรล/วัน  หรือราว  3.02% ของกลุ่มประเทศ OPEC  มีการปิดแหล่งน้ำมัน El-Feel จากการประท้วงของพนักงานในบริษัท  ช่วยลดแรงกดดันกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากสหรัฐ (แตะระดับ  10.25 ล้านบาร์เรลต่อวัน)  สะท้อนจากจำนวนหลุมน้ำมันสหรัฐ ยังคงปรับเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่  5  มาอยู่ที่ 799 หลุม(สูงสุดในรอบ 3 ปี) ขณะที่ความต้องการใช้น้ำมันดิบโลกที่เพิ่มขึ้น ตามเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง  น่าจะลดปัญหา Oversupply ลงภายในครึ่งปีหลังของปี 61

ในสถานการณ์นี้ถือว่า ดีต่อหุ้นน้ำมัน เพราะราคาน้ำมันเฉลี่ย 2 เดือนแรกอยู่ที่ 64.4 เหรียญฯ ใกล้เคียงกับสมมติฐานที่ 65 เหรียญฯ ในปี 2561 จึงยังคงหนุน  PTTEP(FV@B137)  เติบโตต่อเนื่องในปี 2561 ขณะที่ราคาหุ้นยังมี Upside 18.6% เช่นเดียวกับ  PTT(FV@B520) ที่เติบโตตามการถือหุ้นในบริษัทย่อย ทั้ง PTTEP  และ  IRPC  ซึ่งล่าสุดถือหุ้นเพิ่มอีก  9.54%  เป็น  48% และการประกาศแตกพาร์  น่าจะหนุนราคาหุ้นไปอีกระยะหนึ่ง  จนกว่าจะถึงวันแตกพาร์ในราว พ.ค. ปีนี้  พร้อมกับมีการจ่ายปันผลงวดครึ่งปีหลังของปี 60 หุ้นละ 12 บาท  ขึ้น XD วันที่ 6 มี.ค.61

 

*อนึ่งข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

 

Back to top button