ขยับพอร์ตเดือนมีนาคม จัดกลยุทธ์ใหม่รับการลงทุน เน้นหุ้นพื้นฐานเด่น-ปันผลสูง
ขยับพอร์ตเดือนมีนาคม จัดกลยุทธ์ใหม่รับการลงทุน เน้นหุ้นพื้นฐานเด่น-ปันผลสูง
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจข้อมูลบทวิเคราะห์สำหรับการเข้าลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในช่วงเดือนมีนาคม 2561 เพื่อให้นักลงทุนได้วิเคราะห์ และปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับภาวะตลาดฯในช่วงเวลาดังกล่าว เนื่องจากภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกขณะนี้ยังคงผันผวนจากปัจจัยต่างประเทศ
โดย บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า ตลาดหุ้นไทยน่าจะยังผันผวนในเดือนมีนาคม เนื่องจากความไม่แน่นอนของปัจจัยมหภาคในตลาดโลก ทั้งจากประเด็นการเลือกตั้งในอิตาลี และการประชุม FOMC ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทิศทางของตลาดในช่วงครึ่งแรกของเดือน แต่หลังเหตุการณ์เหล่านี้ผ่านพ้นไปแล้ว ตลาดหุ้นน่าจะเริ่มฟื้นได้จากความชัดเจนในประเด็นการเมือง และกรอบเวลาการจัดการเลือกตั้งของไทย
ดังนั้น จึงแนะนำให้นักลงทุนซื้อหุ้นเมื่อราคาลดลงในเดือนนี้ โดยหุ้นเด่นในเดือนนี้เป็นการผสมผสานระหว่างหุ้น domestic play ที่ยังปรับขึ้นไม่มาก และหุ้นปันผลดี ได้แก่ AMATA, BJC, COM7, CPALL, WORK, GLOW และ TISCO หุ้นแนะนำ มี.ค. เน้นหุ้นพื้นฐานเด่นที่ยังปรับขึ้นไม่มาก
ทั้งนี้ ในเดือนมีนาคม คาดว่าสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก รวมถึงหุ้นไทยด้วย น่าจะยังคงผันผวน ตามกระแสเงินลงทุนในหุ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงครึ่งแรกของเดือน เนื่องจากปัจจัยมหภาคจากภายนอกบางตัว อย่างเช่น การเลือกตั้งของอิตาลีในปลายสัปดาห์หน้า และการประชุม FOMC ของสหรัฐในวันที่ 21 มีนาคม และระหว่างสองเหตุการณ์นี้ ก็ยังจะมีการประกาศตัวเลขค่าจ้างของสหรัฐในวันที่ 9 มีนาคม ซึ่งอาจจะเป็นปัจจัยที่หนุนให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐสูงขึ้น และส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นได้
ขณะเดียวกันมองว่ามีความเป็นไปได้ที่ตลาดอาจจะกลับมาแข็งแกร่งขึ้นในครึ่งหลังของเดือนมีนาคม เมื่อปัจจัยมหภาคต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นผ่านพ้นไปแล้ว สำหรับปัจจัยในประเทศ เรามองว่าราคาหุ้นค่อนข้างตึง หลังจากที่ดัชนีดีดตัวกลับขึ้นมาในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ในขณะที่การเพิ่มประมาณการ EPS น่าจะเกิดขึ้นช้ากว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ เนื่องจาก GDP ในไตรมาส 4/60 ต่ำกว่าที่ประเมิน
โดยยังคงมีมุมมองที่ระมัดระวังต่อพลวัตรของปัจจัยมหภาคในตลาดโลกในช่วงครึ่งแรกของเดือน และ จากข้อเท็จจริงที่ว่าหุ้นกลุ่มพลังงานที่เราดูแลอยู่ส่วนใหญ่วิ่งแซงราคาเป้าหมายของเราไปแล้ว เราจึงเลือกที่จะเกาะอยู่กับหุ้น domestic plays ในเดือนมีนาคม โดยเฉพาะกลุ่มที่อ่อนไหวต่อกระแสข่าวเรื่องการเลือกตั้งของไทย เพราะเชื่อว่าในช่วงเดือนนี้จะมีรายละเอียดมากขึ้นเกี่ยวกับวิธีและกำหนดเวลาที่ คสช. จะอนุญาตให้มีการจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ และน่าจะมีการให้ช่วงเวลาที่จะเริ่มมีการทำกิจกรรมทางการเมืองได้
นอกจากนี้ยังคงแนะนำหุ้นปันผลดีบางตัวเพื่อถ่วงดุลพอร์ตหุ้น ในกรณีที่แรงกระเพื่อมจากภายนอกแรงกว่าที่คาดไว้ โดยหุ้นเด่นของเราในเดือนนี้ได้แก่ AMATA, BJC, COM7, CPALL, WORK, GLOW และ TISCO
ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า หุ้นเด่นเดือน มี.ค. ADVANC, MINT, MTLS, PTTEP, SC โดย Fund Flow 2 วันที่ผ่านมากระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาครวม US$288ล้าน เม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลออกจากไทย US$125ล้าน ขณะที่ไหลเข้าเกาหลีใต้ US$95ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลออกจากภูมิภาคจากความกังวลต่อมาตรการการกีดกันทางการค้ารอบใหม่ของสหรัฐฯซึ่งล่าสุดประธานาธิบดีระบุจะเสนอมาตรการการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม ขณะที่ความกังวลต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ยังคงอยู่
ทั้งนี้มุมมองตลาดหุ้นเดือน มี.ค. สถิติในช่วง 7 ปีชี้ว่าตลาดหุ้นเดือน มี.ค. สดใสและต่อเนื่องไปถึง เม.ย. โดยเดือน มี.ค. SET เฉลี่ย +2.3% จากเดือนที่แล้ว นักลงทุนต่างชาติเป็นผู้ซื้อหลักและเป็นเดือนที่ซื้อมากที่สุดในไตรมาส 1/61 สวนทางสถาบันในประเทศที่ชะลอการซื้อ เราเชื่อว่าสถิติมีโอกาสซ้ำรอยเพราะเศรษฐกิจในประเทศฟื้นชัดเจน กำไรบจ.อยู่ในทิศทางที่ดี ราคาน้ำมันดิบทรงตัวในระดับสูง ต่างชาติไม่ได้สะสมหุ้นไทยอยู่แล้วตั้งแต่ต้นปี และถ้าเฟดขึ้นดอกเบี้ยตามคาด หุ้นโลกน่าจะปรับขึ้นเพราะถือว่ามีความชัดเจน SET Target ของเราที่ 1,900 จุดมีโอกาสได้เห็นในระยะ 2 เดือนนี้ การอ่อนตัวเป็นโอกาสสะสม เดือนนี้แนะนำ ADVANC, MINT, MTLS, PTTEP, SC
ด้านเศรษฐกิจเดือน ม.ค. ขยายตัวต่อเนื่อง ตามการส่งออกที่ขยายตัวสูง และภาคท่องเที่ยวโตดี การจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นทุกหมวดสินค้า ส่วนการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวเล็กน้อย แนวโน้ม GDP ไตรมาส 1/61 สดใส
ขณะที่ กำไรปกติปี 2560 เพิ่มขึ้น 8% ใกล้เคียงคาด กำไรสุทธิไตรมาส 4/60 ของบริษัทใน FSS Coverage (78% ของ Market cap.) เพิ่มขึ้น 15% จากไตรมาสก่อน, เพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อน หากตัดรายการพิเศษออก เป็นกำไรปกติ 1.88 แสนลบ. ลดลง 2% จากไตรมาสก่อน ตามฤดูกาลและเพิ่มขึ้น 6% จากปีก่อน ทำให้กำไรปกติทั้งปีเพิ่มขึ้น 8% จากปีก่อนเป็น 7.49 แสนล้านบาท ใกล้เคียงคาด เป็นการฟื้นตัวใกล้เคียงปีก่อนหน้าซึ่งถือว่าดีเพราะการจับจ่ายเพิ่งฟื้นในช่วงครึ่งปีหลัง เราคาด EPS growth ของตลาดปีนี้เร่งตัวขึ้น 12% จากปีก่อน และเพิ่มขึ้น 11% ปี 2562
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
2 มี.ค. – ไทย: อัตราเงินเฟ้อ (ก.พ.)
5 มี.ค. – จีน: Caixin China PMI Composite (ก.พ.)
– ยูโรโซน: Markit Eurozone Composite PMI (ก.พ.)
6 มี.ค. – ศาลฎีกาตัดสินคดีความหงสากระทบ BANPU-BPP
7 มี.ค. – ยูโรโซน: ไตรมาส 4/60 GDP