ผิดหวังผลงานปี 60 ไม่แจ่ม! ฉุด 10 หุ้นราคาดิ่งเหวในรอบ 2 เดือน
ผิดหวังผลงานปี 60 ไม่แจ่ม! ฉุด 10 หุ้นราคาดิ่งเหวในรอบ 2 เดือน นำโดย SDC,MALEE,EPG, TCC,TTCL,ILINK,TFI,SAMART,TSR และ CCET
ผิดหวังผลงานปี 60 ไม่แจ่ม! ฉุด 10 หุ้นราคาดิ่งเหวในรอบ 2 เดือน นำโดย SDC,MALEE,EPG, TCC,TTCL,ILINK,TFI,SAMART,TSR และ CCET
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในรอบ 2 เดือนที่ผ่านมา โดยเทียบราคาปิด ณ วันที่ 29 ธ.ค.60-28 ก.พ.61 โดยในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาดัชนีตลาดหลักทรัพย์ SET ปรับตัวขึ้น 4.36% โดยเทียบจากดัชนียืนอยู่ที่ระดับ 1753.71 จุด (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 1830.13 จุด ( 28ก.พ.61) บวกไป 76.42 จุด
โดยก่อนหน้านี้ได้นำเสนอราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงในรอบ 2 เดือนที่ผ่านมาไปแล้ว และในครั้งนี้จะขอนำเสนอราคาหุ้นที่ปรับตัวลงแรงเกิน 20% ให้นักลงทุนได้ทราบ ซึ่งหุ้นที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวมี 10 ตัว คือ SDC,MALEE,EPG, TCC,TTCL,ILINK,TFI,SAMART,TSR และ CCET อย่างไรก็ตามจะขอเลือกนำเสนอข้อมูลให้นักลงทุนได้ทราบเพียง 5 อันดับแรกของตารางเท่านั้น
สำหรับอันดับ 1 บริษัท สามารถ ดิจิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SDC ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 45.16% โดยราคาหุ้นปรับตัวลดลงจากระดับ 0.62 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 0.34 บาท (28 ก.พ.61) คาดนักลงทุนทยอยขายหุ้นตลอด 2 เดือน เนื่องจากพื้นฐานธุรกิจไม่สดใสนับตั้งแต่ขาดทุนปี 2559
ล่าสุดผลประกอบการปี 2560 ขาดทุน 1,924.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 167% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุน 719.64 ล้านบาท เนื่องจากรายได้จากการขายและบริการลดลง อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร และค่าใช้จ่ายอื่นๆเพิ่มขึ้นทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นหนัก
สำหรับปีนี้บริษัทคาดจะมีรายได้อย่างน้อย 3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 60 ที่คาดว่าจะทำได้ลดลงมากเมื่อเทียบจากปี 59 ขณะที่ในปีนี้มีโอกาสที่จะพลิกมีกำไรได้ ซึ่งจะเร็วกว่าแผนที่คาดว่าจะกลับมามีกำไรในปี 62 หลังจากเปลี่ยนธุรกิจจำหน่ายมือถือ มาเป็นธุรกิจ Digital Trunked Radio และให้เช่าเสาสัญญาณ Co-Tower ในเขตอุทยานแห่งชาติ ที่จะเริ่มรับรู้รายได้ปีนี้ โดยบริษัทได้ลงทุนโครงข่ายรองรับ Digital Trunked Radio จำนวน 1,000 สถานี วงเงิน 2.5 พันล้านบาท สามารถครอบคลุมทั่วประเทศ
ทั้งนี้ คาดว่าปีนี้จะมีลูกค้า 50,000 -100,000 ราย และคาดว่าจะได้เพิ่มอีก 1 แสนราย จากหน่วยงานราชการ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอขั้นตอนการอนุมัติ และตั้งเป้าเพิ่มลูกค้าเป็น 3-4 แสนรายภายในปี 63 โดยบริษัทจะมีรายได้จากค่าใช้บริการรายเดือนๆละ 800 บาทต่อเครื่อง และรายได้จากการจำหน่ายเครืองลูกข่ายวิทยุคมนาคมระบบดิจิทัล (Digital Trunked Radio) ราคาเครื่องละ 2-6 หมื่นบาท ขณะเดียวกันการลงทุนเสาสัญญาณ มีวงเงิน 2.5 พันล้านบาท ซึ่งทยอยลงทุนในช่วงปลายปี 60 และจะลงทุนในปีนี้อีก 200-300 ต้น
อันดับ 2 บริษัท มาลีกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MALEE ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 39..61% โดยราคาหุ้นปรับตัวลดลงจากระดับ 38.25 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 23.10 บาท (28 ก.พ.61) ราคาหุ้นร่วงหนักในรอบ 2 เดือน ส่วนใหญ่มาจากนักลงทุนผิดหวังผลการดำเนินงานปี 60 ออกมาไม่สดใส
บริษัทรายงานผลการดำเนินงานประจำปี 60 มีกำไรสุทธิ 285.58 ล้านบาท ลดลง 46% จากปีก่อนอยู่ที่ 530.02 ล้านบาทเนื่องจากสัดส่วนการขายต่างประเทศลดลง ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิลดลง ขณะที่บริษัทมีค่าเสื่อมราคาที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนเพิ่มเติมในโรงงาน เครื่องจักร และสำนักงาน
อย่างไรก็ตามบริษัทเตรียมจ่ายเงินปันผลจากงวดดำเนินงานวันที่ 1 ม.ค. 2560 ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2560 เป็นเงินสดในอัตรา 0.25 บาทต่อหุ้น ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 7 พ.ค. 2561 กำหนดจ่ายปันผล 25 พ.ค. 2561
ขณะเดียวกันบริษัทคาดผลงานปีนี้จะกลับมาเติบโตอย่างโดดเด่นตามแผนกลยุทธ์ธุรกิจระยะยาว 9 ปี (58-66) หลังจากช่วงที่ 1 (58-60) ได้วางรากฐานและความเข้มแข็งขององค์กรในอนาคต ด้วยการลงทุนปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการผลิตและบุคลากร รวมทั้งด้านวิจัยพัฒนาสินค้าที่มีความหลากหลายและมีมูลค่าเพิ่มสูง นอกจากนั้นยังสร้างพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
อันดับ 3 บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 35.40% โดยราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 11.30 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 0.33 บาท (28ก.พ.61) คาดนักลงทุนผิดหวังผลประกอบการไตรมาส 3/61 และ 9 เดือนแรก สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.60 ออกมาไม่สดใสจึงเทขายหุ้นอย่างหนักในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา
บริษัทแจ้งผลการดำเนินไตรมาส 3/61 (สิ้นสุด 31 ธ.ค.60) ลดลง 44.88% มาที่ 182.37 ลบ. จากปีก่อนมีกำไร 330.86 ลบ. ขณะเดียวกัน 9 เดือนแรกปี 60/61 มีกำไรลดลง 31.51% มาที่ 759.17 ลบ. จากปีก่อนมีกำไร 1.11 พันลบ.เนื่องจากบริษัทมีต้นทุนขายสินค้าและต้นทุนการให้บริการเพิ่มขึ้น
ด้านนายเฉลียว วิทูรปกรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป (EPG) เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจรายได้ปี 61/62 (เม.ย.61-มี.ค.62) จะทะลุ 10,000 ล้านบาท หลังคาดแนวโน้มรายได้ปี 60/61 (เม.ย.60-มี.ค.61) จะเติบโตแตะ 1 หมื่นล้านบาท พร้อมทั้งวางเป้าจะรักษาอัตรากำไรขั้นต้นที่ระดับ 28-30% และอัตรากำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 2 digit
เนื่องจากแนวโน้มอัตราการบริโภคในประเทศที่ฟื้นตัวต่อเนื่องจากกลางเดือน ธ.ค.60 ตามภาวะเศรษฐกิจโลก ทำให้อำนาจซื้อของตลาดเพิ่มขึ้น อีกทั้งหนี้ครัวเรือนมีอัตราลดลงช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยให้เติบโต ประกอบกับหลายสถาบันมองว่าเศรษฐกิจไทยปี 61 จะเติบโตเฉลี่ย 4-4.5% จากการส่งออกและการท่องเที่ยวที่ปรับตัวดีขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากแบรนด์ AEROKLAS ไม่ต่ำกว่า 50%,แบรนด์ AEROFLEX ราว 28-29% และที่เหลือเป็นแบรนด์ EEP
อันดับ 4 บริษัท ไทย แคปปิตอล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TCC ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 33.33% โดยราคาหุ้นปรับตัวลดลงจากระดับ 0.57 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 0.38 บาท (28ก.พ.61) คาดนักลงทุนทยอยขายหุ้นเนื่องจากพื้นฐานบริษัทไม่สดใสและแผนธุรกิจไม่โดดเด่น
โดยผลการดำเนินงานปี 2560 พลิกขาดทุน 60.42 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไร 8.42 ล้านบาท เนื่องจากกลุ่มบริษัทมีค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มขึ้นโดยส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการศึกษาความเป็นไปได้และการจัดตั้งโครงการธุรกิจตลาดค้าส่งสิ้นค้าเกษตร ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ของกลุ่มบริษัท
อันดับ 5 บริษัท ทีทีซีแอล จำกัด (มหาชน) หรือ TTCL ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 30.23 % โดยราคาหุ้นปรับตัวลงจากระดับ 17.20 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 12.00 บาท (28 ก.พ.61) ส่วนใหญ่มาจากนักลงทุนผิดหวังผลการดำเนินงานปี 2560 ออกมาไม่สดใส และบทวิเคราะห์ได้ประเมินว่าธุรกิจยังมีความเสี่ยงจากหนี้เสียโครงการ Rock Salt ยิ่งทำให้หุ้นร่วงหนัก
บริษัทประกาศผลกำไรปี 60 เท่ากับ 52.56 ล้านบาท ลดลง 86.86 % จากปีก่อนที่กำไร 400.1 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการลดลงของมูลค่างานก่อสร้างที่อยู่ในมือ และงานที่ได้รับในปี 2560 แต่ยังไม่ได้เริ่มดำเนินงานก่อสร้างอย่างเต็มที่
บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า TTCL รายงายผลประกอบการไตรมาส 4/60 ขาดทุน 57 ล้านบาท เทียบกับกำไร 48 ล้านบาทในช่วงไตรมาส 4/60 และ ไตรมาส 3/60 หากไม่รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนผลประกอบการจะขาดทุน 84 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนที่ 35 ล้านบาท และ 21% ล้านบาทในช่วงไตรมาส 4/60 และ ไตรมาส 3/60 ตามลำดับ
โดยผลประกอบการลดลงจาก 1) รายได้จากงาน EPC ที่ลดลง 53% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน (จากงานในมือที่ต่ำ และความเสี่ยงของโครงการ Rock Salt) 2) อัตรากำไรของงาน EPC ที่ลดลงเป็น 2% จากเดิมที่ 4.5% และ 7.3% ในช่วง ไตรมาส 4/60 และ ไตรมาส3/60 และ 3) S&A ที่เพิ่มขึ้น 8% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 22% เทียบไตรมาสก่อนหน้า จากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น และรายได้ที่ลดลง
นอกจากการดำเนินงานที่แย่ลงแล้ว TTCL ยังมีหนี้เสียของโครงการ Rock Salt 2.5 พันล้านบาท ในลาวที่หยุดก่อสร้างไปเมื่อปีก่อน โดยมี 635 ล้านบาท เป็นลูกหนี้ที่ครบกำหนดชำระไปแล้วเกิน 1 ปี และอีก 1.78 พันล้านบาท ยังไม่ได้เรียกเก็บ และมีงานอีก 108 ล้านบาท เป็นงานระหว่างการก่อสร้าง มองว่า TTCL มีโอกาสในการเพิ่มทุนจากการลงทุนในโครงการ Ahlone2 และโรงไฟฟ้า Kayin
ทั้งนี้ได้ปรับประมาณการลง และนำโรงไฟฟ้า Kayin ออกจากประมาณการ พร้อมทั้งสะท้อนรายได้และอัตรากำไรในช่วงไตรมาส 4/60 ที่อ่อนแอ ทำให้มูลค่าที่เหมาะสมลดลงเป็น 11.10 บาท อ้างอิง PER ที่ 25.7 เท่าสำหรับปี 2018F ทำให้คำแนะนำลดลงจาก “ซื้อ” เป็น “ถือ” โดยมีความเสี่ยงคือ หนี้เสียที่เพิ่มขึ้น, โรงไฟฟ้าที่ล่าช้า, การก่อสร้างที่ล่าช้า และต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน