เปิดโผ 15 หุ้นลุ้นกำไร Q1/61 โตเด่นน่าเก็บ! การันตีพื้นฐานแกร่ง-อัพไซด์แจ่ม
เปิดโผ 15 หุ้นลุ้นกำไร Q1/61 โตเด่นน่าเก็บ! การันตีพื้นฐานแกร่ง-อัพไซด์แจ่ม นำโดย PTTEP,IRPC,PTTGC,SGP,IVL,SCC,EPCO,SELICE,AH,PYLON,WICE,MTLS,SC,PLAT และ HPT
สัปดาห์หน้าจะเข้าสู่โค้งสุดท้ายการปิดงบฯไตรมาส1/61 หรือที่เรียกกันว่า Window dressing แน่นอนนักลงทุนมีความหวังว่าจะมีการทำราคาปิดสิ้นไตรมาส 1/61 จากนักลงทุนสถาบันในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมีนาคม โดยหุ้นที่อยู่ในข่ายที่จะทำราคาปิดมักเป็นหุ้นขนาดใหญ่และหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีทำกำไรต่อเนื่อง
ดังนั้นเพื่อไม่ให้นักลงทุนพลาดโอกาสในการเข้าลงทุน“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์”จึงทำการรวบรวมหุ้นที่คาดว่าจะเป็นเป้าหมายในการทำ Window dressing และมีแนวโน้มทำผลงานไตรมาส 1/61 ออกมาได้สดใสมานำเสนอทั้งจากแผนงานบริษัทและจากนักวิเคราะห์ชั้นนำของไทยเพื่อเป็นทางเลือกและแนวทางเพื่อพิจารณาเข้าลงทุน
สำหรับหุ้นที่คัดเลือกมานำเสนอ อาทิ PTTEP,IRPC,PTTGC,SGP,IVL,SCC,EPCO,SELICE,AH,PYLON,WICE,MTLS,SC,PLAT และ HPT ตามบทวิเคราะห์และแผนงานบริษัทดังนี้
บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ว่า กลุ่มพลังงานและปิโตรฯ (PTTEP IRPC PTTGC IVL ) คาดกำไร Q1/18 ยังคงเติบโตจากราคาน้ำมันที่ทรงตัวระดับสูงเหนือ 60 US/Barrel
บล.กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ PTTEP เป็นหนึ่งใน top picks ในกลุ่มพลังงาน ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีสำหรับกำไรปี 2560-63 ที่ 30% หนุนจากคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันและปริมาณยอดขายจะสูงขึ้น นอกจากนี้เรายังเล็งเห็น upside เพิ่มเติมได้ หาก PTTEP ชนะประมูลสัญญาสัมปทานแหล่งบงกช หรือกรณีที่ไปทำ M&A เพิ่มเติมได้ KS Research แนะนำ ซื้อ PTTEP ที่ 140.0 บาท
บล.เคทีบี ระบุในบทวิเคราะห์ IRPC เป็นหนึ่งในหุ้นที่ได้รับผลบวกจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น ด้านผลประกอบการของ IRPC ยังคงดีอย่างต่อเนื่อง โดยเราคาดว่ากำไรสุทธิปี 2018 จะเติบโต +18% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่ 12,635 ล้านบาท จากการเดินหน้าโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและเพิ่มมุลค่าผลิตภัณฑ์ราคาที่เหมาะสมโดย KTBST ที่ 8.50 บาท
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ฯ แนะ”ซื้อ”หุ้น IVL โดยบริษัทแจ้งเข้าร่วมทุนทำสัญญาซื้อทรัพย์สินจาก M&G USA (M&G) เป็นโรงงาน PTA-PET ใน US สำหรับรายการซื้อกิจการนี้เป็นครั้งที่ 2 ของปีหลังจากประกาศซื้อกิจการ PET ในประเทศบราซิลในสัปดาห์ที่ผ่านมา จึงเชื่อว่าตลาดคงมุมมองบวกต่อการซื้อกิจการ PTA-PET ในครั้งนี้
เนื่องจากเป็นการซื้อสินทรัพย์จากผู้ขายรายเดียวกันที่ประสบปัญหาทางการเงิน รายการนี้จึงคาดเป็นการซื้อที่มีส่วนลด หากการก่อสร้างเป็นไปตามแผน จึงเชื่อว่าจะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ IVL พร้อมให้ราคาเป้าหมาย 70 บาท
บริษัท โรงพิมพ์ตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ EPCO เปิดเผยว่า บริษัทฯตั้งเป้ารายได้รวมปีนี้จะเติบโตประมาณ 40% จากปีก่อนที่มีรายได้ 963 ล้านบาท และกำไรสุทธิน่าจะเติบโตเป็นเท่าตัว จากปีก่อนอยู่ที่ 207 ล้านบาท เป็นไปตามการเติบโตของธุรกิจโรงไฟฟ้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งปีนี้บริษัทฯ จะมีการรับรู้กำไรของโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน จำนวน 2 โรง กำลังการผลิต 360 เมกะวัตต์ เข้ามาเต็มปี ขณะที่โครงการโรงไฟฟ้าในประเทศญี่ปุ่นก็จะมีการจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบเพิ่มเติมอีก กำลังการผลิต 15 เมกะวัตต์ คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้และกำไรเข้ามาในช่วงครึ่งปีหลังนี้เป็นต้นไป
ปัจจุบัน บริษัทฯ อยู่ระหว่างเตรียมเข้าประมูลโรงพิมพ์จำนวน 1 แห่ง ซึ่งคาดว่าจะเปิดประมูลได้ในช่วงสิ้นเดือน มี.ค.นี้ วางงบลงทุนไว้ราว 500 ล้านบาท อย่างไรก็ตามหากเป็นไปตามคาด จะสามารถรับรู้รายได้เข้ามาทันทีจากที่มีฐานลูกค้ารองรับอยู่แล้ว และน่าจะส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานโดยรวมในไตรมาส 1/61 อย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้มองแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/61 น่าจะเติบโตเท่าตัว หรือมากกว่า 80% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/60 จากการเติบโตของธุรกิจโรงไฟฟ้าและธุรกิจโรงพิมพ์
นายยุทธ กล่าวถึงความคืบหน้าการนำบมจ. อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป (EP) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) คาดว่าจะสามารถยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ภายในเดือนมี.ค.นี้ และน่าจะเข้าเทรดได้ภายในปี 61 ตามแผนที่วางไว้
บริษัท ซีลิค คอร์พ จำกัด (มหาชน) หรือ SELIC คาดว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/61 จะดีกว่าไตรมาส 1/60 เนื่องจากบริษัทฯ ได้รับอานิสงส์ในช่วงเดือนก.พ.ที่ผ่านมา ที่เป็นช่วงของเทศกาลตรุษจีน รวมถึงอุตสาหกรรมต่าง ๆ มีการเติบโตต่อเนื่อง จากการสนับสนุนของภาครัฐ ที่ให้มีการส่งออกมากขึ้น
โดยบริษัทฯยังคงเป้าหมายรายได้ปี 61 จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% จากปีก่อนอยู่ที่ 595 ล้านบาท เป็นไปตามการเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยในประเทศบริษัทฯ จะมีการเพิ่มปริมาณการขายในกลุ่มอุตสาหกรรมมากขึ้นและมีแผนขยายตลาดในต่างประเทศเพิ่มเติมอีก โดยเฉพาะประเทศกลุ่ม CLMV, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์ และประเทศตะวันออกกลาง เป็นต้น โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายจะมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศในปีนี้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 45% จากเดิมที่อยู่ราว 30-40% และที่เหลือจะมาจากในประเทศ 55%
บริษัทฯ มีแผนปรับโครงสร้างทีมขายให้มีความชัดเจนมากขึ้น จากการแบ่งทีมขายไปตามกลุ่มอุตสาหกรรม จากเดิมที่มีการแบ่งไปตามบริษัท เพื่อรองรับการบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า โดยมุ่งเน้นถึงการให้บริการด้วยแนวคิด Customer Centric รวมถึงการยกระดับการผลิต เพื่อรองรับการขยายตลาดกลุ่มลุกค้าในประเทศ และกลุ่มลูกค้าต่างประเทศ และกลุ่มตลาดใหม่ ซึ่งการปรับโครงสร้างทีมขายดังกล่าวจะทำให้การบริการและการบริหารความสัมพันธ์ของลูกค้าได้เหมาะสมและดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ยังมีแผนเพิ่มทีมขายอีกเล็กน้อย จากเดิมที่มีอยู่ราว 10 คน ไม่รวมทีมพัฒนาธุรกิจและพัฒนาการตลาด
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในอุตสาหกรรมบรรจุหีบห่อ อาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มรองเท้าและเครื่องหนัง รวมถึงเน้นการเจาะตลาดอุตสาหกรรมอื่นๆ โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า กลุ่มเฟอร์นิเจอร์ และกลุ่มก่อสร้าง ซึ่งล้วนแต่มีการเติบโตส่งผลให้ความต้องการใช้กาวอุตสาหกรรมสูงขึ้นด้วย
บริษัท อาปิโก ไฮเทค จำกัด (มหาชน) หรือ AH เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 61 จะเติบโต 3-5% จากปีก่อนทำได้ 1.71 หมื่นล้านบาท เป็นไปตามการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่คาดการณ์ว่าจะมียอดผลิตรถยนต์ในปีนี้เพิ่มเป็น 2-2.1 ล้านคัน จากปี 60 อยู่ที่ 1.98 ล้านคัน
ขณะที่บริษัทได้ขยายฐานลูกค้าไปยังประเทศต่างๆ มากขึ้น จากปัจจุบันที่มีฐานลูกค้าหลักอยู่ในประเทศไทย ,มาเลเซีย ,จีน ,อินเดีย ,อเมริกา ,ญี่ปุ่น และยุโรป อีกทั้งยังเข้าร่วมทุนกันพันธมิตรในประเทศเม็กซิโกเพื่อสร้างโรงงานผลิตชิ้นส่วนเพิ่มเติมอีกด้วย ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อรายได้รวมและอัตราการทำกำไรของบริษัทในปีนี้น่าจะดีกว่าปีก่อน
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/61 มองว่าน่าจะเติบโตดีกว่าไตรมาส 1/60 จากยอดขายที่เพิ่มขึ้น และบริษัทยังรับรู้ดอกเบี้ยจากเงินกู้แปลงสภาพสังเคราะห์ (Synthetic Convertible Loan) ที่บริษัทฯ เป็นผู้ให้กู้แก่ Sakthi Global Auto Holdings Limited (SGAH) ตามเงื่อนไขการเข้าร่วมลงทุน มีอัตราดอกเบี้ย 20% หรือคิดเป็นวงเงินราว 10 ล้านเหรียญสหรัฐ/ปี เป็นเวลาต่อเนื่อง 3 ปี จากวงเงินกู้ 50 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1,761 ล้านบาท
บล.เออีซี ระบุในบทวิเคราะห์ว่า AH (BUY:[email protected]): ปี 61 คาดกำไรปกติโต 10% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังธุรกิจยานยนต์ทั่วโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวพร้อมกับบริษัทมีนโยบายการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและมาตรการลดค่าใช้จ่ายหนุนให้ศักยภาพการทำกำไรมีแนวโน้มดีขึ้น+Upside 32.6% จึงแนะนำ”ซื้อ”
บริษัท ไพลอน จำกัด (มหาชน) หรือ PYLON เปิดเผยว่า บริษัทฯคาดรายได้ปีนี้น่าจะเติบโตมากกว่า 1,000 ล้านบาท จากปีก่อนทำได้เพียง 721.27 ล้านบาท ปัจจุบัน บริษัทมีงานในมือ (Backlog) อยู่ที่ 1,019 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ในปีนี้ทั้งหมด ขณะเดียวกันบริษัทเตรียมเข้าประมูลงานภาครัฐเข้ามาเพิ่มเติม ทั้งงานทางด่วนและรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ เช่น สายสีเหลือง ที่คาดจะมีการเปิดประมูลในเดือน พ.ค.นี้ เป็นต้น
สำหรับงานภาครัฐยังมีงานประมูลที่ยังค้างท่ออยู่กว่า 2.021 ล้านล้านบาท หรือราว 44 โครงการ แบ่งเป็น โครงการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) จำนวน 21 โครงการ และโครงการที่ภาครัฐลงทุนเองทั้งหมด 23 โครงการ ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสดีของ PYLON ในการเข้าไปรับงานมากขึ้น ซึ่งบริษัทตั้งเป้าสัดส่วนรายได้จากกงานภาครัฐเพิ่มเป็น 40% และภาคเอกชนอยู่ที่ 60% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนรายได้หลักมาจากภาคเอกชน
ทั้งนี้ มองว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/61 น่าจะเติบโตกว่าไตรมาส 1/60 จากการรับรู้รายได้ของงานภาคเอกชน ที่ส่วนใหญ่มักจะเป็นช่วงสั้นในการดำเนินงาน รวมถึงการแข่งขันทางด้านราคาก็ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งไม่รุนแรงเหมือนในช่วงที่ผ่านๆมา
บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ว่า Thailand future fund คาดยื่นไฟลิ่ง พ.ค. – มิ.ย. 61 ผสานรัฐเตรียมรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน มูลค่า 2 แสนล้านบาทเข้าประชุมคณะรัฐมนตรี (+CK, STEC, PYLON) ประกอบกับ พรบ. EEC ใกล้มีผลบังคับใช้ พ.ค.61 รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อุตสาหกรรมเตรียมโรดโชว์ต่างชาติ(+AMATA, WHA)
บริษัท ไวส์ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ WICE เปิดเผยว่า บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ปีนี้เติบโตราว 30% มาอยู่ที่ 1,800 ล้านบาท สูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ หลังมุ่งเน้นการทำตลาดในจีนและฮ่องกงร่วมกับบริษัทย่อย คือ บริษัท Universal Worldwide Transportation Limited (UWT) โดยบริษัทคาดจะมีสัดส่วนรายได้จากจีนและฮ่องกงเป็นมากกว่า 40% ในอีก 1 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนรายได้จากจีนอยู่ที่ 28% และฮ่องกงอยู่ที่ 12% ขณะเดียวกันก็จะขยายงานโลจิสติกส์ร่วมกับเครือข่าย (Synergize in Group Network) อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ บริษัทจะรับรู้รายได้จาก UWT เข้ามาเป็นปีแรกตั้งแต่ช่วงไตรมาส 1/61 หลังได้เข้าซื้อกิจการในช่วงที่ผ่านมา และยังรับรู้รายได้จากการดำเนินงานต่อเนื่องจาก Sun Express Logistics Pte. Ltd. (SEL) ที่ได้เข้าซื้อกิจการตั้งแต่ปี 59 โดยปีนี้คาดจะมีสัดส่วนรายได้มาจาก WICE 60% , SEL 20% และ UWT 20%
สำหรับความคืบหน้าการเจรจาเพื่อเข้าซื้อกิจการธุรกิจที่ให้บริการด้านโลจิสติกส์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 2-3 ราย ซึ่งเป็นธุรกิจในมาเลเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และจีน ขณะนี้ยังคงอยู่ในขั้นตอนของการเจรจา และยังคงคาดว่าน่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้อย่างน้อย 1 ราย โดยวางงบลงทุนเพื่อซื้อกิจการดังกล่าวไว้ราว 200-300 ล้านบาท/ดีล
นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้ารายใหม่จำนวน 2-3 ราย เพื่อเข้ารับงานบริหารจัดการพื้นที่คลังสินค้า ส่วนงานด้านขนส่งทางอากาศ (Air Freight) การขนส่งทางทะเล (Sea Freight) และการขนส่งทางรถในประเทศ มีแนวโน้มที่ดี โดยปริมาณงานทยอยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งน่าจะส่งผลทำให้ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/61 เติบโตดีกว่าไตรมาส 1/60 เฉลี่ย 20-30%
บริษัท เมืองไทย ลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ MTLS เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในช่วงต้นปีที่ผ่านมาของบริษัทฯ เติบโตชัดเจนโดยปล่อยยอดสินเชื่อใหม่ 2 เดือนแรกมกราคม-กุมภาพันธ์ขยายตัวกว่า 40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากสาขาที่มีมากขึ้นช่วยเพิ่มฐานลูกค้าให้มีมากขึ้นตาม จึงมั่นใจว่าทั้งไตรมาสแรกปี’61 นี้ และตลอดทั้งปีผลงานจะเติบโตได้ตามเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อใหม่ที่ตั้งไว้ 8 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 40% จากปีก่อน อีกทั้งบริษัทฯ ยังคงเน้นควบคุมคุณภาพสินเชื่ออย่างรัดกุมจึงทำให้ยอดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดราย หรือ NPL ยังคงอยู่ที่ระดับไม่เกิน 1.5% ต่อไป ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าอุตสาหกรรม ปีนี้บริษัทฯ วางเป้าหมายเพิ่มลูกหนี้คงค้างสิ้นปีแตะ 5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 3.5 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้นับแต่ MTLS เข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตัวเลขกำไรสุทธิย่อตัวลงเพียงแค่ในไตรมาส 4/57 เท่านั้น โดยทำได้ 146.76 ล้านบาท ทว่าหลังจากนั้นปรับเพิ่มขึ้นทุกๆ ไตรมาสต่อเนื่อง 12 ไตรมาสติดกันโดยล่าสุดไตรมาส 4/60 มีกำไรสุทธิ 742.79 ล้านบาท และหากไตรมาส 1/61 ผลงานเป็นไปตามเป้าหมายจะถือเป็นการสร้างสถิติทำกำไรเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 13
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC แนะนำ”ซื้อ”ราคาเป้าหมาย 550 บาท/หุ้น มองสเปรดปิโตรเคมีในไตรมาส 1/61 สูงหนุนกำไรเดิ่น โดยสเปรดปิโตรเคมี PE – Naphtha เฉลี่ยในไตรมาส 1/61 ปรากฏว่าสูงเด่นถึง 803 เหรียญ/ตัน (+22%QoQ, +19%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) เนื่องจีนมีมาตรการห้ามใช้พลาสติกรีไซเคิล มาผลิตเม็ดพลาสติก ทำให้มีความต้องการเม็ดพลาสติกใหม่ประมาณ 2-3 ล้านตัน ซึ่งจะทำให้กำไรในไตรมาส 1/61 สูงเด่นถึงประมาณ 15,000 ล้านบาท (+19%QoQ, -14%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน)
อย่างไรก็ตามแนวโน้มไตรมาส 2-4 คาดสเปรดจะลดลง เนื่องจากจะมีกำลังการผลิตใหม่เข้ามา 8 ล้านตัน แต่ปัจจัยแวดล้อมปัจจุบันมีแนวโน้มที่สเปรดจะยืนได้เหนือระดับ 700 เหรียญ/ตัน มากกว่าที่ประเมินไว้ตอนต้นปีประมาณ 650 เหรียญ/ตัน ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขาย P/E ที่ต่ำ 11.3 เท่า คาดรักษาระดับปันผล 19 บาท มีอัตราเงินปันผลตอบแทน 3.9%
บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาการเข้าซื้ออพาร์ตเมนต์ในสหรัฐฯ ภายใต้การลงทุนของบริษัท เอสซี อัลฟ่า อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (SC ALPHA) ซึ่ง SC ถือหุ้นในสัดส่วน 100% โดยตั้งงบลงทุนในในการเข้าซื้ออพาร์ตเมนต์ในสหรัฐฯอยู่ที่ 1 พันล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการที่ตั้งอยู่ในเมืองที่เป็นแหล่งการศึกษาและศูนย์กลางเทคโนโลยี เจาะกลุ่มผู้อยู่อาศัยนักศึกษาและคนทำงานต่างชาติที่อยู่ในสหรัฐฯ โดยมีเมืองเป้าหมายที่สนใจในสหรัฐฯทั้งหมด 25 เมือง ซึ่งจะมีข้อสรุป 1 โครงการ ใน 1 เมือง ในช่วงครึ่งหลังปีนี้
สำหรับแนวโน้มของยอดขายในไตรมาส 1/61 คาดว่าจะทำได้กว่า 3 พันล้านบาท ซึ่งอาจจะใกล้เคียงหรือสูงกว่ายอดขายในไตรมาส 1/60 ที่ทำได้ 3.4 ล้านบาท แม้ว่าในไตรมาส 1/61 มูลค่าการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมจะไม่สูงเท่ากับปีก่อนที่มีการเปิด 28 Chidlom ที่มีมูลค่าโครงการสูงถึง 8 พันล้านบาท แต่การเปิดโครงการ Centric รัชโยธิน มูลค่า 1.5 พันล้านบาท สามารถสร้างยอดขายได้สูง โดยทำยอดขายได้ 70% ประกอบกับยังมีการเปิดการขายโครงการแนวราบในต่างจังหวัดอีกในช่วง 24-25 มี.ค. 61 มูลค่า 1.5 พันล้านบาท คือ โครงการ Pave บ้านโพธิ์-ฉะเชิงเทรา และในไตรมาส 2/61 ยังมีการเปิดโครงการอื่น ๆ ในฉะเชิงเทราเพิ่มเติม โดยในปีนี้บริษัทมั่นใจยอดขายทำได้ตามเป้าที่ 1.7 หมื่นล้านบาท
บล.เคทีบีฯ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า SC แนะนำ”ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 5.00 บาท คาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 1/61 จะเติบโต เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้ต่อเนื่อง จากการรับรู้รายได้แนวราบมากขึ้น โดย ณ สิ้นปี 60 มียอด Backlog แนวราบราว 2 พันล้านบาท ทยอยโอนได้ทั้งหมดใน ไตรมาส 1-ไตรมาส 2/61 รวมถึงรับรู้คอนโดเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และคาดว่ากำไรไตรมาส 2/61 โตโดดเด่น จากจะเริ่มโอนโครงการ Saladaeng One ในช่วงปลายเดือน เม.ย.รวมถึงในงวดไตรมาส 4/61 จะเริ่มรับรู้โครงการ BEATNIQ ทั้งนี้ ส่งผลให้เรายังคงประเมินกำไรสุทธิปี 61 จะกลับมาเติบโตสูงและทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 2.07 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 64% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน
บริษัท เดอะ แพลทินัม กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ PLAT เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 1/61 บริษัทฯคาดว่าน่าจะมีอัตราการเติบโตขึ้นมากกว่าตัวเลข 2 หลัก จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 494 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 185.74 ล้านบาท เนื่องจากธุรกิจในพอร์ตทั้งหมดมีการเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายพื้นที่เช่า การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายให้ผู้เช่า และการเพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงร้านค้า
ขณะที่ทั้งปี 61 บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายรายได้รวมเติบโต 5% จากปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 2,059 ล้านบาท เนื่องจากมีการขยายพื้นที่เช่า และการปรับอัตราค่าเช่าศูนย์การค้า เดอะ แพลทินัม แฟชั่นมอลล์เฉลี่ย 4-5% และในช่วงปลายปีจะมีการเปิดศูนย์การค้าปลีก เดอะ มาร์เก็ต แบงก์ค็อก (The Market Bangkok) ซึ่งจะสามารถเริ่มรับรู้รายได้เข้ามาในช่วงไตรมาส 4/61 โดยเบื้องต้นคาดจะมีอัตราการเช่าพื้นที่ (OCC) ไม่ต่ำกว่า 90%
บริษัทฯ วางงบลงทุนในปีนี้ไว้ไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการขยายพื้นที่สีเขียวภายในศูนย์การค้า เดอะ แพลทินัม แฟชั่น มอลล์ 2 จุด ทางเชื่อมต่อเข้าโรงแรม เพื่อเพิ่มความสะดวกให้ลูกค้าผู้มาพัก และใช้พัฒนาศูนย์การค้าปลีก เดอะ มาร์เก็ต แบงก์ค็อก
บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SGP เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเข้าลงทุนธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ในจีน หลังจากที่ผ่านมาประสบความสำเร็จในธุรกิจในธุรกิจก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) และมองโอกาสต่อยอดธุรกิจไปยัง LNG ที่ตลาดมีศักยภาพที่จะเติบโตอีกมาก จากนโยบายรัฐบาลจีนที่จะยกเลิกโรงไฟฟ้าถ่านหิน 38 โรงเพื่อลดปัญหามลพิษ โดยเบื้องต้นเตรียมเงินลงทุนในธุรกิจ LNG ราว 200 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะช่วยเพิ่มสินค้าและกลุ่มลูกค้าของบริษัท โดยคาดว่าจะมีความชัดเจนในปีนี้
นายศุภชัย กล่าวว่า บริษัทมีศักยภาพในการจัดหาแหล่งเงินลงทุนสำหรับธุรกิจ LNG อยู่แล้ว ซึ่งมาจากเงินสดจากการดำเนินงาน อีกทั้งยังมีหนี้สินต่อทุน (D/E) ในระดับ 0.9 เท่า โดยมองว่าการที่บริษัทมีท่าเรือและที่ดินซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งคลัง LPG ในจีนอยู่แล้ว ก็อาจจะใช้เงินปรับปรุงอีกไม่มากเพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจ LNG ในจีน
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายปริมาณขาย LPG ในปีนี้เติบโต 10% จากกว่า 3.2 ล้านตันในปีก่อน ซึ่งนอกจากจะมาจากตลาดในจีนแล้ว อีกกว่า 1 ล้านตันจะมาจากปริมาณการขายในไทย ส่วนที่เหลือจะมาจากการขายในประเทศต่าง ๆ ได้แก่ ออสเตรเลีย ,บังคลาเทศ ,เมียนมา ,มาเลเซีย ,เวียดนาม ,กัมพูชา ,ฟิลิปปินส์ , ฮ่องกง ,ลาว ,มัลดีฟ เป็นต้น นอกจากนี้บริษัทยังมองโอกาสขยายไปประเทศใหม่ ๆ เพิ่มเติมในแถบเอเชีย โดยปริมาณขาย LPG ในช่วงไตรมาส 1/61 คาดว่าจะทำได้ดีกว่าเป้าหมายที่วางไว้ และมากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนด้วย
บริษัทตั้งงบลงทุนในปีนี้ไว้ที่ระดับ 2 พันล้านบาท สำหรับขยายธุรกิจไปยังตลาดที่มีศักยภาพเติบโตมาก รวมถึงการสร้างคลัง LPG ใหม่ ซึ่งเตรียมที่จะเปิดคลัง LPG ในภาคตะวันตกของมาเลเซีย ในช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า จากปัจจุบันที่มีคลัง LPG อยู่แล้ว 2 แห่งทางมาเลเซียตะวันออก มีขนาดบรรุจ 1.2 แสนตัน ซึ่งการขยายคลังไปทางฝั่งตะวันตกจะช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันผลักดันให้มียอดขายเพิ่มขึ้น และมีต้นทุนถูกลง นอกจากนี้ยังเตรียมที่จะเปิดคลัง LPG ในเมียนมาในช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้าด้วย
บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราห์ว่า หุ้นเข้าข่าย Window Dressing ช่วงปลายเดือนนี้ เด่น BANPU, EGCO, CPN, ERW, GLOBAL, MINT, PTTEP, SGP
บริษัท โฮม พอตเทอรี่ จำกัด (มหาชน) หรือ HPT เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 1/61 บริษัทคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผลิตภัณฑ์ของบริษัทยังมีคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) เข้ามาอย่างต่อเนื่อง
โดยในปี 61 บริษัทตั้งเป้าจะมีรายได้เติบโต 10-15% จากงวดปี 2560 ที่มีรายได้ 170 ล้านบาท เนื่องจากปัจจุบันมีงานในมือ (Backlog) อยู่ที่ประมาณ 40 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ในระหว่าง 60-90 วัน ซึ่งคำสั่งซื้อยังมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ในปี 61 บริษัทจะเน้นขบวนการปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิตมากขึ้น หลังในช่วงที่ผ่านมาบริษัทมีการลงทุนเครื่องจักรไปแล้ว ซึ่งจะส่งผลให้มีปริมาณการผลิตปรับเพิ่มขึ้น โดยปี 61 คาดว่าจะมีกำลังการผลิตอยู่ที่ระดับ 3.90 ล้านชิ้นต่อปี ปรับเพิ่มขึ้น 10% จากปี 60 ที่อยู่ระดับ 3.60 ล้านชิ้นต่อปี
ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศอยู่ที่ 95% และจากประเทศไทยอยู่ที่ 5% โดยบริษัทมีการจำหน่ายสินค้าไปยังทวีปอเมริกา ทวีปยุโรป ทวีปออสเตรเลีย รวมถึงทวีปเอเชีย และอื่นๆ ดังนั้นจึงเชื่อว่าจะสนับสนุนให้ผลประกอบการเติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน