SEAFCO ลุ้นโตก้าวกระโดด หลังเดินหน้าประมูลงานเต็มสูบ ดันรายได้ปี 61 โตตามนัด 25%

SEAFCO ลุ้นโตก้าวกระโดด หลังเดินหน้าประมูลงานเต็มสูบ ดันรายได้ปี 61 โตตามนัด 25% ฟากโบรกฯ ปรับคำแนะนำจาก "ถือ" เป็น "ซื้อ" เคาะเป้าสูง 11.40 บาท


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจข้อมูลและบทวิเคราะห์ของบริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO หลังมีแนวโน้มผลประกอบการเติบโตเด่น เนื่องจากบริษัทมีแผนเข้าประมูลงานอย่างต่อเนื่อง ทั้งภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง โดยนักวิเคราะห์ประเมินว่า SEAFCO จะเติบโตอย่างโดดเด่นตั้งแต่ไตรมาส 2/61 เป็นต้นไป อีกทั้ง SEAFCO ยังมีมูลค่างานในมือ (backlog) มากมายที่จะทยอยรับรู้เป็นรายได้เกือบทั้งหมดในปีนี้

โดยราคาหุ้น SEAFCO ปิดตลาดวานนี้ (27 มี.ค.61) ที่ระดับ 9.05 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท หรือ 1.12% สูงสุดที่ระดับ 9.15 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 9 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 58.86 ล้านบาท

นายณรงค์ ทัศนนิพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ SEAFCO เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนเข้าประมูลงานของภาครัฐ และเอกชนอย่างต่อเนื่อง โดยงานภาครัฐ ได้แก่ งานโครงการรถไฟฟ้า และงานฐานรากรถไฟทางคู่ โครงการก่อสร้างมอเตอร์เวย์ และทางด่วน ส่วนงานภาคเอกชนจะเป็นงานประเภทอาคาร สำนักงานตึกสูง ซึ่งบริษัทได้วางกลยุทธ์ดำเนินงานด้วยการรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ให้อยู่ในระดับสูง ด้วยการดำเนินงานให้เสร็จก่อนระยะเวลาที่ลูกค้ากำหนด

ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทได้เข้าร่วมยื่นประมูล จำนวน 197 โครงการ มูลค่ารวม 16,000 ล้านบาท แบ่งเป็น งานจากภาครัฐ จำนวน 36 โครงการ หรือคิดเป็น 18% และงานเอกชน จำนวน 161 โครงการ หรือคิดเป็น 82% ซึ่งบริษัทได้รับงานมาแล้วทั้งหมด จำนวน 38 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 3,454 ล้านบาท และเหลืองานที่ยังไม่ได้ประกาศผลออกมา มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท

โดยบริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ปี 2561 เติบโต 25% จากปี 2560 ที่มีรายได้รวม 1,907.25 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ (Backlog) จำนวน 2,557.07 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปี 2561 อย่างต่อเนื่องเกือบทั้งหมด และที่เหลือจะรับรู้รายได้ในปีถัดไป

สำหรับ Backlog จำนวน 2,557.07 ล้านบาทดังกล่าว ประกอบด้วย งานในประเทศประมาณ 2,413.37 ล้านบาท หรือคิดเป็น 94% (งานจากภาครัฐ 80% และภาคเอกชน 20%) และงานในประเทศเมียนมาประมาณ 143.70 ล้านบาท หรือคิดเป็น 6%

นอกจากนี้ ปัจจุบันบริษัทได้รับโครงการวันแบงค็อก (One Bangkok) แล้วในส่วนของเฟส 1 และเฟส 2 มูลค่าเบื้องต้นประมาณ 1,200 ล้านบาท (รวมค่าแรงงานและวัสดุ) จากทั้งหมด 4 เฟส คาดว่าจะสามารถเริ่มงานได้หลังช่วงสงกรานต์ ส่วนเฟส 3 เป็นบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้รับงานไป และเฟส 4 ยังอยู่ระหว่างการประมูลราคา

ส่วนงานรถไฟฟ้าสายสีส้ม ปัจจุบันบริษัทได้นำเครื่องจักรเข้าไปในพื้นที่แล้ว 4 สถานี จากทั้งหมด 7 สถานี โดยได้ดำเนินงานเต็มรูปแบบแล้ว 2 สถานี และอีก 2 สถานี เพิ่งทยอยเริ่มงาน ขณะที่งานรถไฟฟ้าสายสีชมพู ปัจจุบันยังไม่เริ่มงาน

ขณะที่งานในประเทศเมียนมามีเพียง 1 งาน ได้แก่ โครงการแลนด์มาร์ค และอยู่ระหว่างการประมูลงานเพิ่มอีก 3-4 งาน และเตรียมจัดซื้อเครื่องจักรใหม่ทั้งหมดจากประเทศจีนเข้าไปยังเมียนมา เนื่องจากการนำเครื่องจักรเดิมจากประเทศไทยเข้าไปมีมูลค่าขนส่งที่สูงเกินไป

ด้านแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2561 บริษัทคาดว่าจะทรงตัวจากไตรมาส 4/2560 เนื่องจากอยู่ระหว่างเคลื่อนย้ายเครื่องจักรทั้งในโครงการ One Bangkok และโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม สายสีชมพู และสายสีเหลือง แต่มั่นใจว่าในไตรมาส 2/2561 ผลการดำเนินงานจะเติบโตโดดเด่น จากการเข้ารับงานภาครัฐมากขึ้น และเดินหน้าก่อสร้างได้เต็มที่

ด้านนักวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ระบุแนะนำ “ซื้อ” หุ้น SEAFCO ในราคาพื้นฐานที่ 11.40 บาท โดยมองว่าผลประกอบการน่าจะเติบโตก้าวกระโดดในช่วงไตรมาส 2/2561 หลังเครื่องจักรเคลื่อนย้ายเข้าหน้างานเรียบร้อยและพร้อมเดินเครื่องเต็มสปีด โดยคาด Utilization rate จะเพิ่มขึ้นเป็น 80% จากการทำงานใน 3 โครงการใหญ่ เช่น รถไฟฟ้าสายสีส้ม รถไฟฟ้าสายสีเหลือง รวมถึงโครงการ One Bangkok

นอกจากนี้ยังคาดว่า Backlog จะทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้งจากระดับปัจจุบันที่มีราว 2,500 ล้านบาท โดยคาดบริษัทจะได้รับงานโครงการ One Bangkok มูลค่าราว 1,000 ล้านบาท เร็วๆ นี้ หลังจากที่โครงการ One Bangkok ได้รับ EIA ไปเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา หนุนให้เรามีโอกาสปรับประมาณการกำไรขึ้น เพราะปัจจุบันรายได้ที่เราคาดการณ์ว่าจะเติบโตราว 25% เป็น 2,200 ล้านบาท มี Backlog รองรับเอาไว้ทั้งหมดแล้ว

ด้านนักวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า ขณะนี้ยังคงราคาเหมาะสมที่ 10.10 บาท/หุ้น โดยมีมุมมองบวกกับผลประกอบการที่โตสดใสในปีนี้ และดีต่อเนื่องในปีหน้า จากการรับรู้งานในมือ ณ สิ้นปีก่อนที่ 2.55 พันล้านบาท (ยังไม่รวม One Bangkok ที่เพิ่งได้รับราว 1.2 พันล้านบาท) โดยเป็นสัดส่วนของงานที่รับเฉพาะค่าจ้างซึ่งมาร์จิ้นสูงอยู่กว่า 87%

ทั้งนี้ แม้แนวโน้มกำไรไตรมาส 1/2561 จะยังไม่โดดเด่นจากการส่งมอบพื้นที่ล่าช้าของรถไฟฟ้าสีส้ม และรับรู้งานก่อสร้างหลักไม่เต็มที่ แต่ทิศทางของรายได้และกำไรจะเติบโตอย่างมีนัยตั้งแต่ไตรมาส 2/2561 เป็นต้นไป จากการเริ่มงานก่อสร้างหลายโครงการใหญ่พร้อมกัน ทั้งรถไฟฟ้าสีส้ม, สีชมพู และ One Bangkok

นอกจากนี้ ยังคงคาดกำไรปกติปีนี้ทำ Record High โต 88% เทียบกับปีก่อน และคงราคาเหมาะสม 10.10 บาท แต่เพิ่มคำแนะนำจาก “ถือ” เป็น “ซื้อ” จาก Upside ที่กว้างขึ้น โดยราคาหุ้นปัจจุบันเทรดบน PE2018 ที่ 18.8 เท่า  ต่ำกว่าคู่แข่งอย่าง PYLON ที่ 23 เท่า และกลุ่มรับเหมาที่ 20 เท่า

Back to top button