คัดเน้นๆ 7 หุ้นอสังหาฯ ราคาถูก ผลประกอบการแจ่ม พ่วงอัพไซด์ไกลเกิน 10%

ภาวะตลาดหุ้นไทยยังคงวนเวียนอยู่ในกรอบ 1,780 – 1,8 …


ภาวะตลาดหุ้นไทยยังคงวนเวียนอยู่ในกรอบ 1,780 – 1,800 จุด ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าตลาดหุ้นไทยจะยังสามารถปรับตัวขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง โดยมองเป้าดัชนีไว้ที่ 1,900-2,000 จุด

โดย บล.โนมูระ พัฒนสิน ออกบทวิเคราะห์กลยุทธ์ไตรมาส 2/2561 โดยมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 2 คาดเป็นภาพ Sideway Up โดยปรับเพิ่มดัชนีเป้าหมายปี 2561  ขึ้นสู่ 1,904 จุด รับสัญญาณการบริโภคและวงจรการลงทุนที่เด่นชัดขึ้น

อย่างไรก็ตาม วานนี้ดัชนีปรับตัวลดลงอย่างหนักในช่วงท้ายตลาด ทำให้อัพไซด์ของบจ.ในตลาดหุ้นกว้างขึ้น อย่างไรก็ตามหากจะเข้าลงทุนยังมีความเสี่ยงที่ราคาหุ้นจะฟื้นกลับมาสู่จุดเดิมได้ยาก

ดังนั้น จะต้องเลือกลงทุนหุ้นที่ยังมีปัจจัยบวกหนุน พื้นฐานดี ขณะที่ราคาหุ้นยังถูก ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ จึงได้คัดเลือกบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่มีอัตราส่วนราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) ยังต่ำกว่ากลุ่ม ซึ่งอยู่ที่ 17.04 เท่า เนื่องจากกลุ่มดังกล่าวในช่วงครึ่งปีหลังยังคงเป็นช่วงไฮซีซั่น ขณะที่ราคาหุ้นในกลุ่มดังกล่าวยังปรับตัวน้อยกว่ากลุ่มอื่น

โดยทั่วไปหุ้นที่มี P/E ratio สูงหมายถึงว่าเรายอมจ่ายแพงกว่าเพื่อซื้อหุ้นตัวนี้เมื่อเปรียบเทียบกับหุ้นอีกตัวที่มี P/E ต่ำกว่า ดังนั้นหลายคนมักจะบอกว่า หุ้นที่มี P/E ratio สูงๆ คือหุ้นที่แพง และหุ้นที่มี P/E ratio ต่ำๆ คือหุ้นที่ถูก ดังนั้น การซื้อหุ้นที่มีราคาถูกน่าจะมีโอกาสกำไรมากกว่าซื้อหุ้นที่แพง

สำหรับหุ้นที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวมีดังตารางต่อไปนี้

อันดับที่ 1 บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA โดยบริษัทมีค่า P/E อยู่ที่ 6.91 เท่า และผลการดำเนินงานงวดปี 2560 มีกำไรสุทธิ 742.49 ล้านบาท ลดลง 2.63% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน

ด้าน บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส แนะนำ “ซื้อ” SENA ราคาเป้าหมาย 5.26 บาท/หุ้น โดยมองว่าธุรกิจบริหารให้ JV-โซลาร์ดีกว่าคาด โดยปรับกำไรปีนี้/ปี 62 เพิ่ม 6%/8% สะท้อนรายได้บริหารบริษัทร่วมทุน และรายได้ติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคาสูงขึ้น

ด้าน รายได้บริหารบริษัทร่วมทุนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หลังมีจำนวนโครงการบริษัทร่วมทุนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่วนรายได้ติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคาก็เพิ่มขึ้นสูง หลังรับติดตั้งให้ HMPRO ในอนาคตอาจจะมี 7-11 ด้วย

ทั้งนี้ แนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐานใหม่ (ก่อน XD ปันผลเป็นหุ้น) เพิ่มเป็น 5.26 บาท หลังปรับประมาณการดีขึ้น ด้วย Forward P/E เพียง 7 เท่า ราคาปิดมีส่วนเพิ่มอีกถึง 23% อีกทั้งคาดการณ์ปันผลสูง อัตราผลตอบแทนปีนี้ 7%

 

อันดับที่ 2 บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI โดยบริษัทมีค่า P/E อยู่ที่ 6.76 เท่า และผลการดำเนินงานงวดปี 2560 มีกำไรสุทธิ 5.81 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.94% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน

ด้าน บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ แนะนำ “ซื้อ” SPALI ราคาเป้าหมาย 28.40 บาท/หุ้น มองว่ากำไรทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่ SPALI รายงานกำไรสุทธิ ปี 60 ที่ 5.8 พันลบ. (เพิ่มขึ้น 19% จากปีก่อน) ทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่ สาเหตุหลักๆ มาจากกำไรพิเศษจากการขายอาคารสำนักงานที่ฟิลิปปินส์ 451 ล้านบาท

ขณะที่ ปี 61 ตั้งเป้าโตต่อเนื่อง SPALI ประกาศแผนและกลยุทธ์ปี 61 ตั้งเป้าเปิดตัวโครงการใหม่มูลค่าสูงถึง 40,000 ลบ. เป้า pre-sales ที่ 3.3 หมื่นล้านบาท (เพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อน) ปีนี้หันมาเน้นแนวราบเพิ่มขึ้น ปัจจัยที่จะผลักดันได้แก่การพัฒนาการออกแบบผลิตภัณฑ์

อีกทั้งการปรับปรุงงานบริการลูกค้า นอกจากนี้บริษัทยังเน้นกลุ่มลูกค้าใหม่ โดยปีนี้จะเน้นแนวราบที่ราคามากกว่า 10 ล้านบาท เชื่อว่ามีกำลังซื้อมากกว่ากลุ่มกลางและล่าง รวมถึงการเปิดตัวโครงการใหม่ๆ ในโครงการเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

ขณะที่พัฒนาเทคโนโลยีในงานก่อสร้าง อีกทั้งเพิ่มฐานลูกค้าต่างประเทศซึ่งปัจจุบันยังมีแค่ 2% เห็นศักยภาพลูกค้าโดยเฉพาะลูกค้าชาวจีน

โดยประมาณการกำไรปกติยังโต ประมาณการกำไรสุทธิ โดยใช้ GPM ที่ใกล้เคียงปีก่อน จะได้กำไร FY61F ที่ 5.7 พันลบ. หากเทียบกำไรปกติยัง+6.3%  จากปีก่อน อย่างไรก็ดี หากเทียบกำไรสุทธิจะลดลงเพียง 2% จากปีก่อน ทั้งนี้ หากดู EPS จะอยู่ที่ 2.84 บ./หุ้น ลดลงจากปีก่อนค่อนข้างมากเนื่องจากเราใช้สมมติฐานว่าจะมีการแปลง  SPALI-W4 ทั้งหมดในปีนี้ ทำให้จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นอีก 17% จึงเป็นเหตุให้ EPS ลดลงดังกล่าว

ทั้งนี้ แนะนำ “ซื้อ”  ราคาเป้าหมาย 28.40 บ. เรามองว่าแม้ EPS จะลดลงปีนี้ แต่ยังมองเห็นการเติบโตที่ดีของ SPALI จาก Backlog ที่แข็งแกร่งมากเกือบ 4 หมื่นลบ. ปัจจุบันหุ้น SPALI ซื้อขายไม่แพงด้วย P/E เพียง 6.7x ราคาปัจจุบันถือว่ายังมี upside ถึง 25% แนะนำ ซื้อ  ด้วยราคาเป้าหมาย 28.40 บาท อิง P/E ปี 61 ที่ 10 เท่า

 

อันดับที่ 3 บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ LALIN โดยบริษัทมีค่า P/E อยู่ที่ 7.62 เท่า และผลการดำเนินงานงวดปี 2560 มีกำไรสุทธิ 680.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน

ด้าน นายเสรี สินธุอัสว์ ผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน บมจ.ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ (LALIN) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขายปี 61 ที่ 4.4 พันล้านบาท โดยตั้งเป้ายอดโอนที่ระดับ 4 พันล้านบาท พร้อมมีแผนเตรียมเปิดโครงการใหม่ 8-10 โครงการ มูลค่ารวม 4.5-5 พันล้านบาท ประกอบกับมียอดขายรอโอน (Backlog) ราว 1 พันล้านบาท ทยอยรับรู้ในปีนี้นี้ทั้งหมด พร้อมตั้งงบลงทุนที่ดินไว้ 1 พันล้านบาท เพื่อรองรับการขยายโครงการใหม่ ปัจจุบันมีที่ดินรองรับแล้วบางส่วน

โดยบริษัทตั้งเป้ารักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 39.5% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดที่ระดับ 33% จากการบริหารค่าใช้จ่าย ต้นทุนการซื้อที่ดิน และต้นทุนในการก่อสร้าง พร้อมทั้งควบคุมคุณภาพในการก่อสร้างด้วย

นอกจากนี้ในปี 61 บริษัทมีแผนออกหุ้นกู้ราว 1-1.2 พันล้านบาท เพื่อรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต และชำระหุ้นกู้ชุดเดิมที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในปีนี้ 960 ล้านบาท ปัจจุบันมีการทยอยออกไปก่อนหน้านี้แล้ว 500 ล้านบาท

สำหรับผลประกอบการไตรมาสที่ 1/61 บริษัทคาดว่าจะทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ จากการเปิด 2 โครงการใหม่ มียอดขายแล้วกว่า 1 พันล้านบาท นอกจากนี้ยังมีงานมหกรรมบ้านและคอนโดฯที่เข้ามาช่วยกระตุ้นยอดขายด้วย

ทั้งนี้ มองตลาดอสังหาริมทรัพย์เติบโตใกล้เคียงปีก่อน หรือดีกว่าปีก่อนเล็กน้อย โดยคาดว่าจะมีการเติบโตได้ 5-7% จากปีก่อนเติบโตที่ระดับ 4% โดยมองว่ากำลังซื้อปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับผู้ประกอบการทยอยเปิดโครงการค่อนข้างมาก และมีการแข่งขันค่อนข้างสูงซึ่งในการแข่งขันบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (Listed Company) มีความได้เปรียบในการแข่งขันกับบริษัทที่อยู่นอกตลาดฯ (non-Listed Company) เนื่องจากได้รับความเชื่อมั่นจากลูกค้ามากกว่า อีกทั้งยังสามารถบริหารต้นทุนทางการเงินได้ต่ำกว่าด้วย

 

อันดับที่ 4 บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP โดยบริษัทมีค่า P/E อยู่ที่ 8.02 เท่า และผลการดำเนินงานงวดปี 2560 มีกำไรสุทธิ 3.16 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.82% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน

ด้าน บล.กสิกรไทย แนะนำ “ซื้อ” AP ราคาเป้าหมาย 9.80 บาท/หุ้น ทั้งนี้ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายปลายปี 2561 ที่ 9.80 บาท ยอดขาย ณ เปิดตัวที่ 90% ของโครงการ Life Sukhumvit 62 (มูลค่า 2.0 พันลบ.) ถือเป็นปัจจัยบวกสำคัญต่อราคาหุ้น เนื่องจากคาดจะเป็นส่วนช่วยสำคัญให้ยอดขายไตรมาส 1/2561 ของ AP อยู่ในระดับ 9.5-10.5 พันลบ.ซึ่งคิดเป็นเกือบ 3 เท่าจากยอดขายในช่วงเดียวกันของปีก่อน และเป็นระดับที่เกิดน 1 ใน 4 ของเป้ายอดขายทั้งปีที่ 3.35 หมื่นล้านบาท ค่อนข้างมาก

ทั้งนี้นอกจากการขายแบบ on-line ประมาณ 33% แล้ว AP ยังมีการนำหน่วยประมาณ 57% ไปขายให้ลูกค้า VIP รวมถึงลูกค้าต่างชาติ ซึ่งขายได้ทั้งหมด ส่วนที่เหลืออีก 10% จะมีการปรับราคาขายและนำไปขายที่โครงการ ทั้งนี้มีโอกาสที่ AP จะปรับเพิ่มมูลค่าเปิดตัวโครงการใหม่จากแผนที่ประกาศไปช่วงต้นปี โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมในช่วงที่เหลือของปี เนื่องจากอาจได้ที่ดินในทำเลที่ดีและพร้อมในการพัฒนา ซึ่งจะทำให้เป้ายอดขายปีนี้มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นอีกปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่จะสนับสนุนราคาหุ้นได้

 

อันดับที่ 5 บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSH โดยบริษัทมีค่า P/E อยู่ที่ 8.56 เท่า และผลการดำเนินงานงวดปี 2560 มีกำไรสุทธิ 5.46 พันล้านบาท ลดลง 8% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน

ด้าน บล.ทิสโก้ แนะนำ “ซื้อ” PSH ราคาเป้าหมาย 28 บาท/หุ้น สำหรับปี 2560 บริษัทรายงานการรับรู้รายได้จากคอนโดลดลง จากการเลื่อนการรับรู้รายได้ ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากปีก่อนค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มขึ้นมากกว่าคาด เนื่องจากการเปิดตัวโครงการระดับพรีเมี่ยมที่เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้คาดว่าอัตรากำไรจะคงที่จากปีก่อนหน้าในขณะที่โครงการคอนโดเป็นตัวดันอัตรากำไรในปี 2560 บริษัทมีแผนจะเปิดตัวคอนโดที่มีอัตรากำไรมากกว่า 30% เพิ่มขึ้นในปีนี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนครบรอบ 25 ปี โดย PSH เล็งที่จะเพิ่มยอดจองอย่างน้อย 5% เพื่อหนุนโครงการแนวราบ และบริษัทได้มีการนำโครงการทาวน์เฮ้าส์ไปใว้ใต้แบรนด์ใหม่ และเน้นตลาดพรีเมี่ยมสำหรับคอนโดเท่านั้น มีแผนเปิดตัว 3 โครงการมูลค่ารวม 5 พันล้านบาท

นอกจากนี้ เดือน ม.ค. เป็นเดือนที่มียอดจองเพิ่มขึ้น 95% MoM และ 147% YoY ที่ 3.7 พันล้านบาท จากคอนโดเก่าและใหม่ เช่น The Tree ลาดพร้าว 15 มูลค่า 482 ล้านบาท (ขายหมด) และสำหรับช่วง 2Q18 จะเปิดตัวโครงการ 2 แห่ง โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดจองที่ 5.37 หมื่นล้านบาท และจะมีรายได้เพิ้มขึ้นเป็น 5.05 หมื่นล้านบาท (+15%) ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือรองรับ 29% ของรายได้ในปีนี้

โดยแนะนำให้ “ซื้อ” จาก PER ที่ต่ำ, แนวโน้มรายได้ของโครงการพรีเมี่ยมที่เพิ่มขึ้น และความชัดเจนของธุรกิจโรงพยาบาล โดยเราประเมินมูลค่าที่เหมาะสมของ PSH อิง -0.5 std และใช้ PER 9.4 เท่าในการประเมินมูลค่าที่เหมาะสม โดยมีความเสี่ยงคือ 1) ผลประกอบการที่แย่กว่าคาด 2) ความล่าช้าในการก่อสร้าง 3) อุปสงค์ที่อ่อนแอ

 

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

 

Back to top button